คว้าข่าวสาร อ่านเทรนด์ยุโรป

ฉบับที่ 2, กุมภาพันธ์ 2565

 

ส่งข่าวสารถึงคุณโดย CPG

สนับสนุน​โดย KAS

 

เรียน ท่านผู้อ่าน 

ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่วารสารรายเดือนยุโรป หรือ Europe Monthly ฉบับที่ 2 ของปี ค.ศ. 2022 

ท่ามกลางเรื่องราวสำคัญมากมายที่เกิดขึ้นในยุโรป เราขอนำเสนอภาพรวมเรื่องต่างๆ แก่ท่านผู้อ่าน ดังนี้ การเผชิญหน้ากันระหว่างรัฐบาลรัสเซียและโลกตะวันตกในวิกฤติยูเครนที่ดำเนินอยู่ ข่าวล่าสุดเกี่ยวกับนายกรัฐมนตรีของอังกฤษที่กำลังดิ้นรนเพื่อดำรงตำแหน่งต่อไป แม้จะแปดเปื้อนไปด้วยเรื่องอื้อฉาว และเบื้องหน้าเบื้องหลังว่ารัสเซียได้ประโยชน์จากการช่วยเหลือคาซัคสถานปราบจลาจลอย่างไร

ขอให้ทุกท่านมีช่วงเวลาที่ดีและเพลิดเพลินกับการอ่านวารสารฉบับนี้ 

เฮนนิ่ง กลาเซอร์

บรรณาธิการบริหาร

 

เว็บไซต์: https://www.cpg-online.de, เฟซบุ๊ก: https://www.facebook.com/CPGTU

(transl. by aa)

 

Main Sections

  • สหภาพยุโรป ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและภูมิรัฐศาสตร์

  • กฎหมายรัฐธรรมนูญและการเมืองในยุโรปตะวันตก

  • กฎหมายรัฐธรรมนูญและการเมืองในยุโรปเหนือ

  • กฎหมายรัฐธรรมนูญและการเมืองในยุโรปกลาง

  • กฎหมายรัฐธรรมนูญและการเมืองในยุโรปใต้

  • กฎหมายรัฐธรรมนูญและการเมืองในยุโรปตะวันออก

  • กฎหมายรัฐธรรมนูญและการเมืองในยุโรปตะวันออกเฉียงใต้

 

สหภาพยุโรป ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและภูมิรัฐศาสตร์

 
 

ความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและโลกตะวันตกเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ท่ามกลางวิกฤติยูเครน 

สหรัฐอเมริกากล่าวหาว่ารัฐบาลรัสเซีย (Moscow) กำลังทำให้ยุโรปไปสู่จุดหมิ่นเหม่ที่อาจก่อให้เกิดสงคราม และกำลังบ่อนทำลายความมั่นคงระหว่างประเทศด้วยการรวมกำลังทหารที่ชายแดนยูเครน ขณะที่ประเทศตะวันตกหลายประเทศ ต่างเตรียมพร้อมให้การสนับสนุนทางทหารแก่รัฐบาลยูเครน (Kyiv) ท่ามกลางความประหวั่นว่ารัสเซียอาจจะบุกเข้ายูเครน [Politico] ขณะที่รัฐบาลยูเครนกลับมองว่าการคาดการณ์ของโลกตะวันตกที่ว่ารัสเซียใกล้จะบุกเข้ามาในยูเครนนั้น เป็นการคาดการณ์ก่อนเวลาอันควร และเป็นเพียงการสร้างความตื่นตระหนกและทำให้เสถียรภาพของตลาดต่าง ๆ ของยูเครนลดลง [Bloomberg] [CNN] [Deutsche Welle]

ด้านรัสเซียกล่าวหาว่าองค์การนาโต (NATO) กำลังยกระดับความตึงเครียด เนื่องจากมีรายงานว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ เตรียมพร้อมกองกำลังทหาร 8,500 นายไว้ ก่อนที่รัสเซียจะบุกยูเครน ซึ่งเขาคาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ อย่างไรก็ดี ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินได้ออกมาปฏิเสธความตั้งใจที่ทำให้แผนการดังกล่าวเกิดขึ้น [TASS] [Politico] [The Guardian] [Global News] ทั้งนี้ เอกอัครราชทูตสหพันธรัฐรัสเซียประจำคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council) กล่าวกับองค์การนาโตว่า “คุณกำลังรอให้มัน [การบุกเข้ายูเครน] เกิดขึ้น ราวกับว่าคุณต้องการให้คำพูดของคุณเป็นจริง” [The Washington Post] ในขณะที่เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำองค์การสหประชาชาติ นาง Linda Thomas-Greenfield ได้ออกมาเตือนว่า “นี่คือ … ที่ใหญ่ที่สุด ฟังฉันพูดให้ชัด ๆ นะ นี่คือการระดมพลที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปในรอบหลายทศวรรษ” [Politico] 

การประชุมสหประชาชาติที่นำโดยสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 31 มกราคม ถือเป็นการประชุมครั้งล่าสุดจากการประชุมหลายต่อหลายครั้งในเดือนมกราคมที่จัดขึ้นมาเพื่อลดความตึงเครียดระหว่างประเทศในประเด็นยูเครน แต่สาระจากการประชุมก็ยังคงเหมือนเดิมอยู่ตลอด นั่นคือองค์การนาโตยืนกรานว่ารัสเซียควรดำเนินการในประเด็นยูเครนตามช่องทางต่าง ๆ ทางการทูต และเตือนว่าการรุกรานยูเครนจะทำให้รัสเซียพบกับ “ผลที่ตามมาที่ร้ายแรง” [News Week] [TASS] [Ukrinform] [Reuters] [Moscow Times] อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีปูตินได้บอกกับประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 28 มกราคม ว่าสหรัฐอเมริกาและองค์การนาโตไม่ตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของรัสเซีย อาทิ ไม่ถอนกองกำลังทหารออกจากประเทศยุโรปตะวันออกที่เป็นสมาชิกองค์การนาโต ตลอดจนไม่รับรองว่ายูเครนจะไม่ได้รับสิทธิ์ในการเข้าเป็นสมาชิกในองค์การนาโต แต่ปูตินก็เสริมว่ารัฐบาลรัสเซียได้เตรียมการที่จะพูดคุยเกี่ยวกับประเด็นยูเครนต่อไป [Politico] [Deutsche Welle] 

เมื่อวันที่ 14 มกราคมที่ผ่านมา ยูเครนตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีทางไซเบอร์หลายครั้ง ซึ่งรัสเซียถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลัง ขณะที่รัฐบาลอังกฤษอ้างว่ารัฐบาลรัสเซียได้ออกแผนการที่จะแต่งตั้งหุ่นเชิดที่สนับสนุนการเข้ากับรัสเซีย (pro-Russian) เป็นผู้นำรัฐบาลยูเครน [BBC] [CNBC] [New York Times] ด้านรัฐบาลสหรัฐฯ ออกมาเตือนว่า รัฐบาลรัสเซียเตรียมการที่จะทำให้เกิดการ “จัดฉาก” (false flag) โจมตีในยูเครน ซึ่งเป็นวิธีที่รัฐบาลรัสเซียจะก่อวินาศกรรมกับกองกำลังทหารรัสเซียในยูเครนด้วยตนเอง เพื่อเป็นการสร้างความชอบธรรมในการบุกเข้าไปในยูเครน [France24]

ประเทศยูเครนได้รับการสนับสนุนทั้งทางด้านการทหารและการเงินจากประเทศยุโรปจำนวนมาก ได้แก่ อังกฤษ สเปน เนเธอร์แลนด์ โปแลนด์ สาธารณรัฐเช็ก นอร์เวย์ และประเทศในรัฐบอลติก [Ukrinform] [Diário de Notícias] [El País] [AA] [PAP] [Republic World] [Norway Today] [WSJ] ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศลิทัวเนีย กล่าวว่า “การสนับสนุนยูเครนดังกล่าว ถือเป็นผลประโยชน์ของทุกประเทศ เพื่อป้องกันการรุกรานที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในบริเวณชายแดนยุโรป” [CNN] อย่างไรก็ดี ประเทศยุโรปอื่น ๆ ลดระดับการสนับสนุนยูเครนลง เช่น สวีเดนและฟินแลนด์ยุติการส่งอาวุธชั่วคราว ส่วนรัฐบาลเยอรมันขัดขวางความพยายามของเอสโตเนียที่จะส่งอาวุธที่ผลิตในเยอรมนีไปยังยูเครน ด้านประธานาธิบดีมาครงของฝรั่งเศสจัดการเจรจาทางการทูตกับปูตินด้วยตนเอง [Financial Times] [Ukrinform] [The Telegraph] [Euractiv] [Financial Times] [Deutsche Welle] ผู้สังเกตการณ์บางคนถึงกลับบอกว่า ยุโรปกำลังล้มเหลวในการนำเสนอความเป็นแนวร่วมหนึ่งเดียว (united front) 

นักวิเคราะห์ชาวอเมริกัน Livia Paggi ให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg กล่าวว่า “วิธีการเข้าหารัสเซียของสหรัฐอเมริกาและยุโรปไม่ได้รวมกันเป็นหนึ่งเดียว แม้แต่รัฐในสหภาพยุโรปด้วยกันเอง ก็ไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกัน ยิ่งแสดงให้เห็นจริง ๆ ว่า ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียแต่ละประเทศ ก็มีผลประโยชน์ต่างกัน” [Bloomberg] [Al Jazeera] ส่วนนักวิเคราะห์บางคนมองว่าที่รัฐบาลเยอรมันไม่เต็มใจจะให้การสนับสนุนทางทหารแก่ยูเครน ก็เพราะว่าเยอรมนียังต้องพึ่งพิงพลังงานของรัสเซียอยู่ [The Guardian] [Al Jazeera] [Financial Times] ด้านนายกรัฐมนตรีโปแลนด์เคยพูดว่า “ปูตินได้จ่อปืนก๊าซ (gas gun) ไว้บนหัวของยูเครน โปแลนด์ และประเทศยุโรปอื่น ๆ ไว้” อย่างไรก็ดี ออสเตรียออกมาแสดงความกังวลเกี่ยวกับมาตรการคว่ำบาตรที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงการปิดกั้นท่อส่งก๊าซนอร์ด สตรีม 2 (Nord Stream 2) หากเกิดการรุกรานยูเครนของรัสเซีย ซึ่งรัฐบาลออสเตรียจะสนับสนุนมาตรการคว่ำบาตร ในกรณีที่ไม่มีการปิดกั้นท่อส่งก๊าซดังกล่าว [Polish News] [Spiegel Ausland]

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 28 มกราคม รัฐบาลสหรัฐฯ และคณะกรรมาธิการยุโรปให้คำมั่นว่าจะหาแหล่งพลังงานทางเลือกสำหรับยุโรปและยูเครน หากกองกำลังทหารของรัสเซีย 100,000 นาย ที่ประจำการอยู่รอบ ๆ ชายแดนยูเครนได้รับคำสั่งให้บุกเข้ามาในยูเครน [Euractiv] ขณะที่ในกรุงเคียฟ มีการเรียกร้องให้ทุกคนอยู่ในความสงบและใช้การทูต ส่วนในบริเวณภาคพื้นของยูเครนนั้น ทหารและประชาชนที่พร้อมรบก็เตรียมพร้อม หากรัสเซียเปิดการบุกเข้ามายังยูเครนเต็มรูปแบบ [RFERL] [The Independent] [BBC] ด้านโปแลนด์ออกมาประกาศว่า พวกเขายินดีต้อนรับผู้ลี้ภัยที่หนีการรุกรานของรัสเซีย [The Times] นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีนอร์เวย์ นาย Jonas Gahr Støre ให้สัมภาษณ์กับผู้ประกาศข่าวสำนักข่าวอัลจาซีรา เมื่อวันที่ 28 มกราคมว่า “ผมยังเชื่อว่าเส้นทางทางการเมืองจะมอบโอกาสเพื่อค้นหาทางออกและการรับประกันใหม่ ๆ ให้แก่พวกเรา” เขาพูดเสริมว่า “ตอนนี้มันก็ขึ้นอยู่กับประธานาธิบดีปูตินแล้วว่าเขาจะแสดงให้เห็นว่า เขาสามารถมาพูดคุยบนโต๊ะเจรจา ค้นหาทางออกที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ได้ ซึ่งไม่ใช่เพียงเพื่อเขาเท่านั้น แต่ยังเพื่อประเทศเพื่อนบ้านของเขาด้วย” [Al Jazeera] 

(ht/pk, transl. by aa)

 

เยอรมนีเตือนว่าเยอรมนีสามารถระงับโครงการท่อส่งก๊าซนอร์ด สตรีม 2 ได้ หากปูตินส่งกองกำลังทหารมาบุกยูเครน

เมื่อวันที่ 18 มกราคม รัฐบาลเยอรมันออกมาเตือนว่า พวกเขาอาจพิจารณาระงับโครงการท่อส่งก๊าซนอร์ด สตรีม 2 (Nord Stream 2) หากรัสเซียโจมตียูเครน ซึ่งเป็นการเปลี่ยนตำแหน่งของนโยบาย ซึ่งการเปลี่ยนตำแหน่งของนโยบายนี้ ช่วยทำให้ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับท่าทีของเยอรมนีในประเด็นโครงการท่อส่งก๊าซ และมาตรการคว่ำที่อาจเกิดขึ้นกับรัสเซียหายไป นายกรัฐมนตรีเยอรมัน นาย Olaf Scholz ได้ออกคำเตือนที่หนักแน่นที่สุดของเขาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจ (economic ramifications) เมื่อเขาถูกถามว่าโครงการนอร์ด สตรีม 2 ถือเป็นส่วนหนึ่งของการมี “ต้นทุนทางเศรษฐกิจที่รุนแรง” (severe economic costs) ที่รัสเซียอาจจะเผชิญหรือไม่ หากประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ส่งกองกำลังทหารข้ามชายแดนไปบุกยูเครน [Politico] [ECFR]

นาย Olaf Scholz กล่าวในช่วงการแถลงข่าวกับเลขาธิการองค์การนาโต (NATO) นาย Jens Stoltenberg ว่า “มันชัดเจนว่าจะมีค่าใช้จ่ายสูง และทั้งหมดนี้จำเป็นต้องมีการพูดคุยกัน หากมีการแทรกแซงทางทหารในยูเครน” และ “เราหวังว่ารัสเซียจะทำให้สถานการณ์เบาบางลง” ซึ่งหมายรวมถึงการลดกองกำลังทหารบริเวณชายแดนยูเครน ลง [Politico]หัวหน้าคณะมนตรียุโรปว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในกรุงเบอร์ลิน Jana Puglierinได้เขียนไว้ เมื่อวันที่ 19 มกราคม ว่า “หลังจากหลายวัน หรือหากไม่ใช่ ก็หลายสัปดาห์และหลายเดือนของความไม่แน่นอนและสัญญาณที่ผสมปนเปกันไปหมดนั้น เขา [นาย Scholz] ได้นำสารเกี่ยวกับนโยบายรัสเซียของเยอรมนีกลับมาเข้ารูปเข้ารอยอีกครั้ง” และ “ฉันหวังว่าแถลงการณ์ฉบับใหม่ของ Scholz ควรจะทำให้ข ้อถกเถียงของเยอรมนีมีความเป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้นในตอนนี้ และช่วยทำให้หุ้นส่วนประเทศต่าง ๆ ที่เริ่มมองว่าเยอรมนีคือจุดอ่อนของตะวันตก กลับมามั่นใจกับเยอรมนี” [ECFR]

อย่างไรก็ดี ภายใต้การนำของนางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีผู้ดำรงตำแหน่งก่อนหน้า Scholz ประเทศเยอรมนีมุ่งมั่นที่จะดำเนินการในระดับชาติและพร้อมที่จะใช้มาตรการคว่ำบาตรรัสเซียในระดับส หภาพยุโรป หากรัสเซีย “ใช้พลังงานเป็นอาวุธ หรือกระทำการใดต่อไปที่พิจารณาแล้วว่าเป็นการกระทำที่ก้าวร้าวต่อยูเครน” ส่วน Scholz กล่าวว่า รัฐบาลของเขา “ยืนหยัดในทุกด้าน” ของข้อตกลงที่เคยให้ไว้กับประธานาธิบดีโจ ไบเดน [Politico] แม้ว่าในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา จุดยืนของ Scholz ได้แตกต่างออกไป เขาแยกการดำเนินการท่อส่งก๊าซจากความพยายามอื่น ๆ ที่เป็นการป้องกันการรุกล้ำชายแดนยูเครน โดยอธิบายว่าความพยายามอื่นเหล่านั้น เป็น “คนละประเด็น” (separate issues) ในตอนนั้น เขากล่าวต่อไปว่าโครงการท่อส่งก๊าซเป็นประเด็นของภาคเอกชน ซึ่ง “ได้ก้าวไปสู่จุดที่วางท่อแล้ว” [ECFR][Clean Energy Wire]

นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเยอรมัน นาง Annalena Baerbock ได้สะท้อนความเห็นของนาย Scholz เมื่อเดือนที่แล้ว เมื่อตอนที่เธอเดินทางไปกรุงมอสโกเพื่อพบกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย นาย Sergei Lavrovและเธอได้กล่าวว่า “พวกเราไม่มีทางเลือก นอกจากปกป้องกฎร่วมกันของเรา แม้ว่าบางครั้งจะมีต้นทุนทางเศรษฐกิจที่สูงก็ตาม” นาง Baerbock เสริมต่อไปว่า หากรัสเซียใช้พลังงานเป็นอาวุธ จะมี “ผลที่ตามมาอย่างเหมาะสมเกี่ยวกับท่อส่งก๊าซนี้” [Politico] ด้านนาย Nikos Tsafos ประธาน James R. Schlesinger ด้านพลังงานและภูมิรัฐศาสตร์ ประจำศูนย์ยุทธศาสตร์และระหว่างประเทศศึกษา (Center for Strategic and International Studies) เขียนเมื่อวันที่ 21 มกราคม ว่า “ความตั้งใจของเยอรมนีที่นำโครงการนอร์ด สตรีม 2 ขึ้นมาเจรจาบนโต๊ะนั้น ถือเป็นการส่งสัญญาณว่าไม่พอใจอย่างมากไปยังรัสเซีย” และ “รัสเซียต้องโทษตัวเอง” [CSIS]

(yp/gc, transl. by aa)

 

ฟินแลนด์และสวีเดนเผชิญหน้ากับคำถามเชิงยุทธศาสตร์ที่ท้าทาย

เสียงสนับสนุนการเข้าเป็นสมาชิกองค์การนาโต (NATO) เพิ่มสูงขึ้น ทั้งในฟินแลนด์และสวีเดน อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีฟินแลนด์กล่าวว่า ประเทศฟินแลนด์ “ไม่มีแนวโน้มเลย” ที่จะสมัครเข้าเป็นสมาชิกองค์การนาโต ในช่วงที่เธอยังดำรงตำแหน่งอยู่ แม้ว่าเสียงสนับสนุนจากประชาชน ทั้งชาวฟินแลนด์เองและในประเทศสวีเดนซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้าน ที่ต้องการให้ฟินแลนด์เข้าไปร่วมในองค์การนาโตจะเพิ่มขึ้น เนื่องด้วยความหวาดกลัวว่ารัสเซียอาจจะบุกเข้ายูเครนก็ตาม ทั้งนี้ การแสดงความคิดเห็นของนายกรัฐมนตรีฟินแลนด์ นาง Sanna Marin ในการสัมภาษณ์กับสำนักข่าวรอยเตอร์ เมื่อวันที่ 19 มกราคม กระตุ้นให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากนักการเมืองพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งพวกเขากล่าวว่า นาง Marin กำลังเล่นตามเกมที่รัฐบาลรัสเซียต้องการให้เล่น โดยการนำฟินแลนด์ออกจากการเข้าเป็นสมาชิกองค์การนาโตในอนาคตอันใกล้นี้ [Euractiv]

หนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ นาย Antony Blinken ชี้ให้เห็นอ้อม ๆ ว่า ฟินแลนด์ที่ดั้งเดิมนั้น ยึดถือความเป็นกลาง ต้องการเป็นส่วนหนึ่งขององค์การนาโต ซึ่งก่อนหน้านี้ โฆษกประจำทำเนียบรัฐบาลรัสเซีย นาย Dmitry Peskov ได้ออกมาเตือนฟินแลนด์ว่า รัสเซียจะมองว่าการเข้าร่วมองค์การนาโต ซึ่งเป็นกลุ่มพันธมิตรทางทหารของโลกตะวันตก ของฟินแลนด์ เป็น “เครื่องมือในการเผชิญหน้า” (an instrument of confrontation) [Reuters] ด้านประธานาธิบดีแห่งสหรัฐฯ โจ ไบเดน ได้พูดคุยกับประธานาธิบดีฟินแลนด์ นาย Sauli Niinistö เมื่อวันที่ 18 มกราคม เกี่ยวกับกองกำลังทหารของรัสเซียบริเวณชายแดนยูเครน นายไบเดนเน้นย้ำถึงสิทธิ์ของฟินแลนด์และประเทศยุโรปอื่น “ที่จะเลือกการเตรียมการด้านความมั่นคง (security arrangements) ของตนเอง” [Politico]

รัฐบาลฟินแลนด์กล่าวก่อนหน้านี้ว่า ประเทศฟินแลนด์ขอสงวนสิทธิ์ในการสมัครเข้าเป็นสมาชิกองค์การนาโตเมื่อใดก็ได้ อย่างไรก็ดี การระดมพลของรัสเซียใกล้กับยูเครนนั้น ทำให้เกิดการถกเถียงในหมู่ประชาชนชาวฟินแลนด์ว่าพวกเขาควรจะเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งขององค์การนาโตหรือไม่ [Reuters] ซึ่งขณะนี้ จากผลสำรวจของช่อง MTV3 News ที่เผยแพร่ออกมา เมื่อวันที่ 26 มกราคมนั้น ร้อยละ 30 ของประชาชนฟินแลนด์ ต้องการเข้าร่วมเป็นสมาชิกนาโต และตัวเลขนี้ ถือเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดตั้งแต่ปี ค.ศ. 2005 เป็นต้นมา ทั้งนี้ ผลสำรวจเสริมว่า การสนับสนุนอาจจะพุ่งสูงขึ้นถึงร้อยละ 50 หากผู้นำทางการเมืองของฟินแลนด์รณรงค์นโยบายการเข้าเป็นสมาชิกนาโตของฟินแลนด์ [Euractiv] นาง Marin กล่าวว่า “รวม ๆ แล้ว ฉันเชื่อว่าการถกเถียงเกี่ยวกับเรื่องการเข้าเป็นสมาชิกนาโตจะเพิ่มขึ้นในปีต่อ ๆ ไป” [Reuters] 

แม้ว่าฟินแลนด์จะไม่ใช่สมาชิกนาโต แต่ก็สร้างสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับพันธมิตรองค์การนาโตในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งเดือนที่แล้ว ฟินแลนด์เลือกบริษัทสัญชาติอเมริกันยักษ์ใหญ่ Lockheed Martin เพื่อให้บริษัทนี้จัดส่งเครื่องบินรบรุ่น F-35 จำนวน 64 ลำ และระบบอาวุธต่าง ๆ เพื่อที่จะเสริมสร้างความสัมพันธ์ด้านกลาโหมกับสหรัฐฯ ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น [EiR Monthly January 2021] นอกจากนี้ ฟินแลนด์ยังอนุมัติสัญญาซื้อขายปืนไรเฟิลซุ่มยิง เพื่อจะนำมาแทนที่ปืนชุดเดิมที่มีมาตั้งแต่ยุคโซเวียต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นาย Antti Kaikkonen สนับสนุนการซื้อปืนไรเฟิลซุ่มยิง รุ่น Sniper Rifle 23 ระบบกึ่งอัตโนมัติรุ่นใหม่ และปืนไรเฟิลรุ่น Designated Marksman Rifle 23 สำหรับกองกำลังทหารราบ[Upjobsnews] โดยบริษัทสัญชาติฟินแลนด์ Sako จะเป็นผู้ผลิตอาวุธทั้งสองชนิดนี้[Shephardmedia]

ในขณะที่สวีเดน ประเทศเพื่อนบ้านจากกลุ่มนอร์ดิก ก็มีการหยิบประเด็นการเข้าเป็นสมาชิกองค์การนาโตขึ้นมาถกเถียงเช่นเดียวกัน ผลสำรวจที่จัดทำโดยบริษัท Novus เพื่อส่งให้กับช่อง SVT ซึ่งเป็นช่องโทรทัศน์สาธารณะของสวีเดน พบว่าร้อยละ 37 ของประชาชนชาวสวีเดนต้องการให้สวีเดนเข้าเป็นสมาชิกองค์การนาโต ขณะที่ร้อยละ 35 ไม่ต้องการ และร้อยละ 28 ยังไม่ตัดสินใจ ซึ่งในปี ค.ศ. 2017 ร้อยละ 32 กล่าวว่า “ต้องการ (yes)” ให้สวีเดนเข้าร่วมกับนาโต และร้อยละ 43 “ไม่ต้องการ (no)” [Euractiv] ทั้งนี้ สวีเดนได้รายงานว่า มีการยกพลขึ้นบกของทหารเรือรัสเซียทางตอนเหนือจำนวนมากเข้าสู่ทะเลบอลติก และสวีเดนได้เสริมกองกำลังทหารเข้าไปบนเกาะ Gotland ซึ่งมีที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์อยู่ในทะเลบอลติกและเป็นส่วนหนึ่งของประเทศสวีเดนที่อยู่ใกล้ กับรัสเซียมากที่สุด[Euronews] [AP] 

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสวีเดน นาย Peter Hultqvist ได้ให้สัมภาษณ์กับสถานีวิทยุ Ekot ว่า “มีความเสี่ยงอย่างชัดเจน การโจมตีสวีเดนไม่สามารถถูกแยกออกไปได้ … สวีเดนจะเตรียมพร้อม หากมีอะไรเกิดขึ้น” [Financial Times] นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีสวีเดน นาง Magdalena Andersson ยังได้ปฏิเสธการยืนกรานด้วยท่าทีแข็งกร้าวของรัสเซียที่ว่าองค์การนาโตควรจะจำกัดแผนการขยายการเป็นสมาชิกภาพออกไป ด้านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสวีเดน นาง Ann Linde ออกมาเน้นย้ำก่อนหน้านี้ว่า ประเทศของเธอขอสงวนสิทธิ์ที่จะตัดสินใจว่าต้องการที่จะเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การนาโตหรือไม่[Politico] แต่เธอก็เสริมว่าการสมัครเข้าเป็นสมาชิกของนาโตนั้น ยังไม่ถูกหยิบยกขึ้นมาบนโต๊ะเจรจาในขณะนี้ [Politico]

(pk-mh, transl. by aa)

 

พรรคการเมืองฝ่ายซ้ายในสเปนเรียกร้องให้สเปนออกจากการเป็นสมาชิกนาโต

พรรคการเมืองฝ่ายซ้ายในสเปนจำนวน 9 พรรค รวมทั้งพรรคร่วมรัฐบาลรุ่นเล็ก ได้เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี Pedro Sanchez ขอสิ้นสุดการเป็นสมาชิกภาพในองค์การนาโต ท่ามกลางความตึงเครียดที่ถูกกระตุ้นจากการสร้างกองกำลังทหารของรัสเซียใกล้กับยูเครน ทั้งนี้ ในจำนวนพรรค 9 พรรค ซึ่งรวมถึงพรรค Unidas Podemos พรรคร่วมรัฐบาล ได้ร่วมกันออกมาเตือนในแถลงการณ์ร่วมว่า สหภาพยุโรปต้องหลีกเลี่ยงการถูกลากเข้าไปพัวพันในความขัดแย้งในยูเครน และควรเตรียมข้อเสนอต่าง ๆ เพื่อให้สถานการณ์ลดความตึงเครียดลง นาย Pablo Iglesias ผู้ก่อตั้งและอดีตหัวหน้าพรรค Podemos กล่าวเมื่อวันที่ 22 มกราคม ว่า “พลเมืองชาวสเปนไม่ใช่คนโง่ และรู้ว่าองค์การนาโตคือกลุ่มพันธมิตรทางทหารที่มีไว้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกา” [Euractiv] แถลงการณ์ร่วมฉบับดังกล่าว ลงนามโดยพรรค Unidas Podemos เน้นให้เห็นความแตกต่างระหว่างพรรค Podemos และพรรคร่วมรัฐบาลรุ่นใหญ่ พรรค Spanish Socialist Workers Party (PSOE) ของนายกรัฐมนตรี Sanchez

ขณะที่รัสเซียระดมกำลังทหารไปที่ชายแดนยูเครน รัฐบาลสเปนก็ได้ประกาศว่าสเปนกำลังกระจายเครื่องค้นหาและทำลายทุ่นระเบิด รวมทั้งเรือรบไปเข้าร่วมกับกองทัพเรือของนาโตในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและทะเลดำ [Reuters] แต่ขณะเดียวกัน รัฐบาลสเปนก็เรียกร้องให้มีการเจรจากับรัฐบาลรัสเซีย นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมบัลแกเรีย นาย Stefan Yanev กล่าวว่า สเปนกำลังส่งเครื่องบินรบ รุ่น Eurofighter จำนวนกว่า 7 ลำ และเนเธอร์แลนด์ส่งเครื่องบินขับไล่โจมตีประสิทธิภาพสูง รุ่น F-35 จำนวน 2 ลำ มายังบัลแกเรีย เครื่องบินรบจำนวนนี้จะถูกใช้ในการดำเนินกิจการด้านการตรวจสอบและรักษาความสงบเรียบร้อยทางอากาศในช่วงวิกฤติยูเครน [Euractiv]

(pk, transl. by aa) 

 

นายกรัฐมนตรีฮังการีเยือนพันธมิตรปูตินในกรุงมอสโกท่ามกลางความตึงเครียด ซึ่งก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์

นายกรัฐมนตรีวิกโตร์ โอร์บานของฮังการีเข้าพบวลาดิมีร์ ปูตินในกรุงมอสโกเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นการเยือนที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นภัยต่อความเป็นเอกภาพของสหภาพยุโรปในขณะที่รัสเซียระดมกำลังทหารที่ชายแดนติดกับยูเครน (The Guardian) [Euronews]

โอร์บานถูกมองว่าเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุดของปูตินในสหภาพยุโรป และการพบปะกับประธานาธิบดีรัสเซียก็ถูกจับตามองด้วยความรู้สึกกังวลโดยรัฐบาลของประเทศต่างๆ ในยุโรป (The Guardian)

ในท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างประเทศที่เกิดจากการสะสมกำลังทหารรัสเซียใกล้กับยูเครน โอร์บานยังคงไม่แสดงความคิดเห็นต่อสถานการณ์นี้ เพียงแต่พูดในที่ประชุมผู้นำฝ่ายขวาของยุโรปในกรุงมาดริดว่าเขา “สนับสนุนสันติภาพและการลดระดับความขัดแย้ง” (The Guardian)

หัวข้อการหารือกับปูตินคาดว่าจะรวมถึงแผนการขยายโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ปากส์ของฮังการี การเปิดตัวการผลิตวัคซีนสปุตนิกที่ออกแบบโดยรัสเซียในฮังการี และการซื้อก๊าซจากรัสเซีย นักวิจารณ์กล่าวว่าการพบปะกันดังกล่าวบ่อนทำลายความพยายามของชาติต่างๆ ในสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกาในการกระจายการจัดหาเชื้อเพลิงของยุโรปในกรณีที่ความขัดแย้งปะทุขึ้นในยูเครน (The Guardian, Hungary Today)

(hm/pk, transl. by vv) 

 

รัสเซียอาจส่งกองทหารไปยังคิวบา เวเนซุเอลา ขณะความตึงเครียดกับสหรัฐฯ ในเรื่องยูเครนและนาโตทวีความรุนแรงขึ้น

รัสเซียได้ปฏิเสธที่จะยกเลิกการพิจารณาส่งกำลังทหารไปยังคิวบาและเวเนซุเอลา หากความตึงเครียดกับสหรัฐฯ ทวีความรุนแรงขึ้นในท่ามกลางความพยายามทางการทูตที่ล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นระหว่างตนกับยูเครน และการขยายสมาชิกภาพของนาโตออกไปสู่ขอบเขตแห่งอิทธิพลของมอสโก

เซอร์เจย์ เรียบคาฟ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศของรัสเซีย กล่าวกับสถานีโทรทัศน์แห่งชาติว่าเขาไม่สามารถ “ยืนยันหรือปฏิเสธ” การส่งกำลังทหาร และว่าการตัดสินใจนั้น “ขึ้นอยู่กับการดำเนินการของกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องของสหรัฐฯ โดยสิ้นเชิง” รัฐบาลของไบเดนตอบสนองต่อการขู่คุกคามนั้นอย่างรวดเร็ว โดยให้คำมั่นว่าจะตอบโต้ “อย่างเด็ดขาด” หากตนเห็นหลักฐานใดๆ ที่แสดงว่าการข่มขู่คุกคามนั้นเป็นเรื่องจริง [The Guardian] [Miami Herald]

เรียบคาฟแสดงความคิดเห็นหลังจากการเจรจาหลายรอบระหว่างทั้งสองประเทศล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาการสะสมกองกำลังทหารของรัสเซียที่ชายแดนยูเ ครนและการขยายสมาชิกภาพของนาโต รัสเซียได้วางกำลังทหารหลายหมื่นนายไว้ตามชายแดนยูเครน ทำให้เกิดความหวาดกลัวว่าจะมีการบุกรุก

ในอดีต สหรัฐฯ ได้พิจารณาว่าซีกโลกตะวันตกเป็นอิทธิพลทางยุทธศาสตร์ของตน ภายใต้ลัทธิมอนโร ซึ่งเป็นหลักการแห่งนโยบายของสหรัฐฯ และริเริ่มโดยประธานาธิบดีเจมส์ มอนโรในปี 1823 ที่ถือว่าการแทรกแซงใดๆ จากประเทศมหาอำนาจภายนอกในการเมืองของอเมริกาใต้จะถูกพิจารณาว่าเป็นการกระทำที่เป็นปรปักษ์ต่อสหรัฐฯ ลัทธินี้เป็นศูนย์กลางของและมีความสำคัญสูงสุดต่อนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ในช่วงเวลาหลายปีของศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20

หากรัสเซียจะเคลื่อน (ทหาร) ไปทางนั้น “เราก็จะจัดการกับรัสเซียอย่างเด็ดขาด” เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ กล่าว “ผมจะไม่ตอบคำขู่ตะคอกในความคิดเห็นสาธารณะที่ไม่ได้ถูกยกขึ้นมาอภิปรายในการสนทนาเรื่องการรักษาเสถียรภาพทางยุทธศาสตร์” [Wall Street Journal] [The Guardian]

การขู่คุกคามของรัสเซียที่จะส่งกำลังทหารนั้นมีขึ้นในขณะที่รัฐบาลที่เครมลินกดดันสหรัฐฯ ให้ยุติกิจกรรมทางทหารของตะวันตกในขอบเขตอิทธิพลของรัสเซียผ่านการขยายสมาชิกภาพของนาโต รัสเซียอ้างว่าการขยายสมาชิกภาพขององค์การนี้เข้าไปสู่ประเทศใหม่ๆ ทั่วยุโรปตะวันออกนั้นเป็นภัยคุกคามต่อมอสโก

แม้จะมีความขัดแย้งระหว่างสองประเทศ ทั้งสองฝ่ายก็ไม่เห็นเหตุผลที่จะทำการเจรจาครั้งใหม่ในทันที การเจรจาหลายรอบล่าสุดมีความคืบหน้าเพียงเล็กน้อย

ไมเคิล คาร์เพนเตอร์ ผู้แทนสหรัฐฯ ประจำองค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (OSCE) กล่าวอย่างชัดเจนว่ามีความคืบหน้าเพียงเล็กน้อยถึงไม่มีเลยในการลดความตึงเครียดระหว่างทั้งสองฝ่าย “เสียงตีกลองสงครามกำลังดังขึ้น และเสียงวาทศิลป์ (แห่งสงคราม) ก็ค่อนข้างสูง” คาร์เพนเตอร์กล่าว [The Guardian]

(bm/gc, transl. by vv)

 

เหตุการณ์ความไม่สงบในคาซัคสถานคลี่คลายลง หลังกองทหารรัสเซียเข้าแทรกแซง

การประท้วงในคาซัคสถานซึ่งส่งผลให้พลเรือนเสียชีวิตอย่างน้อย 225 คนหลังจากที่การประท้วงกลายเป็นการจลาจลอย่างรุนแรงนั้น ได้หยุดชะงักลงอย่างรวดเร็วภายหลังรัฐบาลเข้าปราบปรามอย่างไม่ปรานีโดยได้รับการสนับสนุนจากองค์การสนธิสัญญาความมั่นคงร่วมกัน (CSTO) ที่นำโดยรัสเซีย ซึ่งเป็นองค์การพันธมิตรทางทหารของรัสเซีย คาซัคสถาน เบลารุส อาร์เมเนีย ทาจิกิสถาน และคีร์กีซสถาน ที่ตอบสนองต่อการเรียกร้องขอความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนจากพันธมิตรโดยจัดส่งทหารหลายพันนายเข้าไปในคาซัคสถาน

การประท้วงเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 มกราคม หลังจากที่รัฐบาลของประธานาธิบดี คาสซิม-โจมาร์ต โตกาเยฟ แห่งคาซัคสถาน ได้ยกเลิกกฎระเบียบที่ควบคุมราคาน้ำมัน ซึ่งทำให้ต้นทุนพลังงานพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในประเทศที่ประชากรมีมาตรฐานการครองชีพต่ำ แม้จะเป็นประเทศที่มั่งคั่งก็ตาม การประท้วงในตอนแรกเป็นไปอย่างสงบ แต่ทันใดนั้นสถานการณ์ก็ปะทุขึ้นสู่การจลาจล การลอบวางเพลิง และการปล้นสะดมไปทั่วประเทศ เนื่องเพราะความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจและความไม่พอใจต่อรัฐบาลอันเป็นปัญหาเก่าแก่นั้นได้มีโอกาสระบายออกมา เมื่อรัฐบาลกลับคำสัญญาในเรื่องราคาน้ำมันและการตัดสินใจที่จะยุบรัฐบาลไม่สามารถทำให้ผู้ก่อการจลาจลพอใจได้ คาซัคสถานได้ส่งสัญญาณเพื่อขอความช่วยเหลือจากภายนอก ในขณะที่กองกำลังรักษาความมั่นคงของตนตอบโต้ด้วยการปราบปรามอย่างไร้ความปรานี [Reuters]

หลังการประกาศภาวะฉุกเฉินและพร้อมกันนั้นสัญญาณอินเทอร์เน็ตทั่วประเทศก็ถูกตัดเมื่อวันที่ 5 มกราคม [The Conversation] เหตุการณ์นี้ส่งผลให้ประธานาธิบดีออกคำสั่งในวันที่ 7 มกราคม ให้ยิงผู้ก่อปัญหาทุกคนที่พบเห็นได้ในทันที [BBC] [Al Jazeera] [TASS 1] [France 24]

สหภาพยุโรป ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เร่งเร้าให้คาซัคสถานและรัสเซียเคารพสิทธิในการประท้วงอย่างสันติ [Euractiv] ได้ร่วมกับบางองค์กรพัฒนาเอกชนระหว่างประเทศ (NGOs) โดยเรียกร้องให้มีการสอบสวนอย่างเป็นอิสระเกี่ยวกับการปราบปรามของรัฐบาล องค์การฮิวแมนไรตส์วอตช์กล่าวหารัฐบาลว่าใช้กองกำลังมรณะที่สร้างความบาดเจ็บล้มตายอย่างไม่เหมาะสมและไม่เลือกปฏิบัติ [HRW]

เกี่ยวกับกองกำลังขององค์การ CSTO ซึ่งจัดตั้งขึ้นโดยกลุ่มทหารจากทุกประเทศสมาชิกของCSTO ที่ส่งไปนั้น ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับการควบคุมการจลาจล แต่ถูกใช้เพื่อปกป้องสถานที่และอุปกรณ์หรือเครื่องมือทางยุทธศาสตร์ [TASS 1] กองกำลังฉุกเฉินนี้ถูกส่งเข้าไปประจำการเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่ประธานาธิบดีโตกาเยฟแห่งคาซัคสถานร้องขอความช่วยเหลือเพื่อพิชิต สิ่งที่เขาอ้างว่าเป็น “ภัยคุกคามจากการก่อการร้าย" ที่จัดการและชี้นำโดยต่างชาติ [France 24]

ส่วนใหญ่ของทหารพลร่มจำนวน 3,600 นายที่ส่งเข้าไปเมื่อวันที่ 6 มกราคมนั้นเดินทางมาจากกรุงมอสโก อันเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ขององค์การ CSTO กองกำลังฉุกเฉินดังกล่าวได้รับคำสั่งจากนายพลระดับสามดาว อันเดรย์ เซอร์ดยูกอฟ ซึ่งเป็นผู้บัญชาการทางอากาศที่หัวแข็งของรัสเซีย และเป็นผู้นำกองกำลังรัสเซียในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญเกือบทั้งหมดของสถานการณ์ยุ่งเหยิงทางภูมิรัฐศาสตร์ (geopolitical resurgence) ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา รวมถึงกองทหารที่ควบคุมไครเมียในปี 2014 ที่ประจำการอยู่ในดอนบาสส์ในปี 2015 และซีเรียในปี 2019 [Middle East Monitor] 

นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ช่วง 30 ปีที่องค์การ CSTO สั่งให้มีปฏิบัติการทางทหารในการ “รักษาสันติภาพ” [Eurasia Net] [RFE/RL]

กองทหารเหล่านี้ถูกถอนออกจากคาซัคสถานอย่างสมบูรณ์ในวันที่ 19 มกราคม หลังจากผู้ก่อการจลาจลแตกพ่าย โดยมีผู้ถูกจับกุมราว 10,000 คนและมีการยกเลิกภาวะฉุกเฉิน [RFE/RL 1] [Kazinform]

ในขณะเดียวกัน รัฐบาลโตกาเยฟ ซึ่งยังคงควบคุมสถานการณ์ได้อย่างสมบูรณ์ก็กลายเป็นผู้ชนะในการต่อสู้แย่งชิงอำนาจภายในของชนชั้นนำ (intra-elite power battle) กับประธานาธิบดีคนแรกของคาซัคสถาน นูร์สุลต่าน นาซาร์บาเยฟ ภายหลังลงจากตำแหน่งประธานาธิบดีและสถาปนาโตกาเยฟขึ้นดำรงตำแหน่งนี้แทนในปี 2019 ซึ่งนับเป็นเวลาถึงสามทศวรรษแห่งลัทธิบูชาบุคคล (personality cult) และการทำให้ตระกูลนาซาร์บาเยฟมั่งคั่งขึ้นอย่างไร้การยั้งคิดนั้น นาซาร์บาเยฟยังคงรักษาตำแหน่งที่เป็นจุดศูนย์กลางภายในโครงสร้างอำนาจของประเทศไว้ได้ โดยใช้อิทธิพลอันแข็งแกร่งในฐานะ “ผู้นำของประเทศ” ที่ได้รับการแต่งตั้งและประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ผู้ซึ่งยังคงได้รับความคุ้มกันอย่างเต็มที่และไม่สามารถละเมิดได้อย่างสมบูรณ์ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขปี 2010 ที่ยอมรับอำนาจและสิทธิพิเศษอันน่าทึ่งมากมายเหล่านี้ [New York Times] [Akorda]

ภายหลังปฏิบัติการปราบปรามการจลาจลเสร็จสิ้นลงแล้ว ประธานาธิบดีโตกาเยฟก็ระบุว่าอดีตที่ปรึกษาของเขาได้พยายามจะโค่นล้มเขาด้วยความช่วยเหลือจากต่างประเทศ และเริ่มดึงโครงสร้างอำนาจของคาซัคสถานออกจากตระกูลนาซาร์บาเยฟอย่างมีประสิทธิภาพและในทันที หลังจากที่โตกาเยฟเริ่มกระบวนการนี้ด้วยการถอดถอนนาซาร์บาเยฟออกจากตำแหน่งประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติเมื่อวันที่ 5 มกราคมแล้ว เขาก็จับกุมตัวแคเจียร์ มีเซอมอฟ ซึ่งเป็นมือขวาอันแข็งแกร่งของนาซาร์บาเยฟในฐานะประธานคณะกรรมการความมั่นคงแห่งชาติ (KNB) อันเป็นหน่วยงานรักษาความมั่นคงที่ทรงอิทธิพลที่สุดของประเทศ และตั้งข้อหามีเซอมอฟว่าเป็นกบฏ พร้อมกันนั้นก็จับกุมตัวหลานชายของนาซาร์บาเยฟที่ดำรงตำแหน่งรองจากมีเซอมอฟ ซึ่งกล่าวกันว่าได้เฝ้าจับตาดูเขาแทนนาซาร์บาเยฟ [RFE/RL 2]

จากนั้นก็ตามมาด้วยการปลดผู้แทนคนอื่นๆ จำนวนมากในกลุ่มครอบครัวและบริวารของอดีตผู้นำออกจากอำนาจ จนกระทั่งในการประชุมวิสามัญพรรครัฐบาลคาซัคสถานครั้งที่ 21 นั้นได้มีการแต่งตั้งประธานาธิบดีโตกาเยฟขึ้นเป็นประธานพรรคแทนที่นาซาร์บาเ ยฟเมื่อวันที่ 28 มกราคม [eurasianet 1] [New York Times]

ในขณะเดียวกัน โตกาเยฟก็ประกาศ “กระบวนการทำให้เป็นประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ” (de-oligarchization of the economy) โดยการปฏิรูปที่ออกแบบมาเพื่อจัดการกับภาวะชะงักงันทางเศรษฐกิจและของรัฐบาลซึ่งเป็นเหตุให้การเดินขบวนประท้วงทวีความรุนแรงขึ้นอย่า งรวดเร็ว [AP] ด้วยเหตุนี้ ประธานาธิบดีจึงได้จัดตั้งกองทุนที่ “เชิญชวน” พันธมิตรของอดีตผู้นำเป็นการเฉพาะให้โอนเงินจำนวนมากเข้ากองทุน ในการกล่าวสุนทรพจน์ต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 11 มกราคม โตกาเยฟกล่าวว่า “ก็เพราะประธานาธิบดีคนแรก กลุ่มบริษัทที่ทำกำไรได้มากจึงได้เกิดขึ้นในประเทศนี้ เช่นเดียวกับกลุ่มคนที่ร่ำรวย ที่วัดตามมาตรฐานสากล” โตกาเยฟกล่าวว่าสำหรับพวกเขานั้นถึงเวลาแล้ว “ที่จะจ่ายค่าตอบแทนสำหรับสิทธิพิเศษและผลประโยชน์ต่างๆ ที่พวกเขาได้รับให้กับประชาชนชาวคาซัคสถานและช่วยเหลือประชาชนเหล่านี้อย่างเป็นระบบและสม่ำเสมอ” [eurasianet 2]

ไม่ว่าอิทธิพลที่แน่ชัดในการส่งกำลังทหารขององค์การ CSTO ที่นำโดยรัสเซียจะเป็นผลมาจากการต่อสู้แย่งชิงอำนาจภายในนี้หรือไม่ก็ตาม สิ่งนี้ก็สนับสนุนมอสโกในหลายด้าน

ประการแรก สำหรับมอสโกแล้ว นาซาร์บาเยฟเป็นพันธมิตรที่รับมือได้ยากมากขึ้น หลังจากปี 2014 ความสัมพันธ์ได้เริ่มถดถอยลงอันเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ที่แข่งขันกันในเรื่องระเบียบยูเรเชีย (Eurasian order) ในอนาคตในเอเชียกลาง ในขณะดำเนินตามวิสัยทัศน์ที่ว่าคาซัคสถานอยู่เหนือและโดดเด่นกว่า ในภูมิภาคนี้นั้น นาซาร์บาเยฟก็กำหนดนโยบายต่างประเทศให้สมดุลระหว่างผลประโยชน์ของตะวันตก รัสเซีย และจีน

ในทางกลับกัน ด้วยจำนวนประชากรเชื้อชาติรัสเซียที่ลดลงจากร้อยละสี่สิบเป็นร้อยละ 19 นับตั้งแต่ได้รับเอกราช คาซัคสถานตอนเหนือ รวมถึงอับคาเซีย ไครเมียและดอนบาสส์ ก็ได้เป็นหนึ่งในหัวข้อแรกๆ ในอุดมการณ์เรียกร้องดินแดนของชนชาติเดียวกันหลังสหภาพโซเวียตล่มสลาย ของนักชาตินิยมรัสเซีย [New York Times]

แต่กับโตกาเยฟนั้น มอสโกมีบริษัทคู่ค้าของคาซัคสถานที่มีอำนาจควบคุมอยู่ในขณะนี้ ซึ่งดูเหมือนว่าจะร่วมมือกันได้ง่ายกว่ามาก คาซัคสถานยังมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์อย่างมีนัยสำคัญสำหรับรัสเซียอีกด้วย คาซัคสถานเป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสามของเอเชีย โดยมีพรมแดนติดต่อกับรัสเซียและจีน ในทางภูมิศาสตร์ยังมีพรมแดนติดกับยุโรปและมีพื้นที่ส่วนน้อยตั้งอยู่ในทวีปยุโรปด้วย คาซัคสถานมีประชากรเพียง 19 ล้านคนและเป็นประเทศหนึ่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก รวมทั้งมีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของอดีตสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต รองจากรัสเซีย คาซัคสถานอุดมไปด้วยแร่ธาตุโดยผลิตยูเรเนียมได้ถึงร้อยละ 40 ของโลก และยังมีปริมาณน้ำมันสำรองมากที่สุดเป็นอันดับที่ 12 อีกด้วย

ประการที่สอง ด้วยปฏิบัติการในคาซัคสถานนั้น องค์การ CSTO ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในฐานะปัจจัยด้านความมั่นคงร่วมกันที่นำโดยรัสเซียภายในกรอบการปกครองของยูเรเซีย หลังจากการปฏิเสธที่จะมีส่วนร่วมในสงครามนากอร์โน-คาราบัคห์ในปี 2020 คาซัคสถานก็อาจกลายเป็นผู้เปลี่ยนเกมได้ [The Diplomat]

นักวิเคราะห์ด้านการเมือง อาร์เคดีย์ ดับนอฟ ให้ความเห็นเกี่ยวกับการตอบสนองอย่างรวดเร็วของกลุ่มต่อการร้องขอของคาซัคสถาน กับสำนักข่าวบีบีซีรัสเซีย ว่า “องค์การ CSTO เลิกเป็นเสือกระดาษ และแสดงให้เห็นถึงความพร้อมและความมุ่งมั่นที่จะ (ดำเนินการ) ให้แล้วเสร็จในการคาดคะเนว่าน่าจะเกิดภัยคุกคามที่วุ่นวายสับสนและรวดเร็วขึ้นในดินแดนแห่งบริเวณที่ดึงดูดผู้คนของตน” [Europe Cities] เมื่อไตร่ตรองถึงคุณสมบัติและความสำเร็จที่กำลังเพิ่มสูงขึ้นขององค์การ CSTO แล้ว เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ โตกาเยฟจึงได้ประกาศที่จะเปิดสำนักงานผู้แทนถาวรขึ้นที่องค์การ CSTO ในกรุงมอสโก [TASS 2]

ประการที่สาม สำหรับพันธมิตรที่มีอยู่ในปัจจุบันและอาจมีในอนาคตนั้น เหตุการณ์นี้เป็นการตอกย้ำเรื่องเล่าของมอสโกในเรื่อง “การปฏิวัติสี” ซึ่งเป็นภัยคุกคามจากตะวันตก และความสามารถของมอสโกเองในการป้องกันการปฏิวัติเหล่านี้ด้วยวิธีที่ทรงพลังในเชิงสัญลักษณ์ การตอบสนองของประธานาธิบดีปูตินต่อคำประกาศของโตกาเยฟที่ว่าคาซัคสถานถูกโจมตีจากกองกำลังภายนอก ซึ่งเป็นการให้ข้ออ้างทางกฎหมายเพื่อเรียกร้องให้พันธมิตรให้การสนับสนุนตนตามมาตรา 4 แห่งสนธิสัญญา CSTO นั้นชัดเจนมาก โดยผู้นำรัสเซียอ้างว่า “ภัยคุกคามที่กำลังเกิดขึ้นกับคาซัคสถานไม่ได้เกิดจากการประท้วงราคาเชื้อเพลิง แต่เกิดจากข้อเท็จจริงที่ว่ากองกำลังบ่อนทำลายทั้งจากภายในและภายนอกได้ใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้” ในความเป็นจริงแล้ว “กลุ่มติดอาวุธที่ได้รับการจัดตั้งและจัดการมาอย่างดีถูกส่งเข้าไป (ในคาซัคสถาน)” และนำ “เทคโนโลยีไมดาน” (Maidan technologies - การเดินขบวนประท้วงในที่สาธารณะ) มาใช้ [The Diplomat] แต่ปูติน “จะไม่ยอมให้ใครมาทำให้สถานการณ์ในบ้านของเราไม่สงบ และจะไม่อนุญาตให้มีเหตุการณ์ที่เรียกว่าการปฏิวัติสีเกิดขึ้น” [Bloomberg]

ในทำนองเดียวกัน อเล็กซานเดอร์ ลูกาเชนโก ประธานาธิบดีผู้แข็งแกร่งแห่งเบลารุส ก็ยืนยันขณะต้อนรับกองกำลังทหารกลับจากคาซัคสถานเมื่อวันที่ 15 มกราคม ว่า “ภัยคุกคามที่คาซัคสถานเพิ่งเผชิญเมื่อเร็วๆ นี้เป็นเรื่องปกติในประเทศต่างๆ ส่วนใหญ่ที่เกิดหลังการล่มสลายของโซเวียต” [Belta]

อย่างไรก็ตาม ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ สี จิ้นผิง ผู้นำของจีนซึ่งในระหว่างการสนทนาทางโทรศัพท์กับโตกาเยฟนั้น ยังได้กล่าวซ้ำเกี่ยวกับการอ้างถึงการปฏิวัติสีที่ได้รับการสนับสนุนจากตะวันตก โดยแสดงความเต็มใจที่จะช่วยเหลือด้วยเช่นกัน [The Hill]

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความหวาดกลัวต่อการปฏิวัติสีที่ปลุกเร้าโดยตะวันตกนั้นเป็นจุดศูนย์กลางแห่งการบรรจบกันของการเป็นพันธมิตรระหว่างจีน-รัสเซียที่แนบแน่น แก่นแท้ของมันอยู่ที่การปฏิเสธสิ่งที่ทั้งสองประเทศมองว่าเป็นความพยายามของตะวันตกในการกำหนดคุณค่าทั้งมวลของตนด้วยการเข้าแทรกแซงอย่ างต่อเนื่อง ซึ่งทั้งคู่พิจารณาว่าการแทรกแซงประเภทนี้เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติอย่างสำคัญยิ่ง ซึ่งอาจอยู่ในรูปแบบของ “การปฏิวัติสี” โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุการณ์การประท้วงโดยใช้เทคโนโลยีไมดานและการประท้วงในฮ่องกงในปี 2014 ได้กระตุ้นการรับรู้นี้ว่าเป็นเกลียวกลางสำคัญของการวางแผนและความร่วมมือด้านความมั่นคงแห่งชาติของจีน-รัสเซีย เหตุการณ์ในคาซัคสถาน พร้อมกับการปฏิบัติการขององค์การ CSTO ที่รวดเร็วและประสบความสำเร็จนั้น เพิ่งกลายเป็นสนามทดสอบสำหรับการตอบโต้ทางทหารร่วมกันต่อสิ่งที่ทั้งสองประเทศอ้างว่าเป็นการแทรกแซงจากตะวันตก

โดยสรุป คาซัคสถานถูกรวมอยู่ในขอบเขตแห่งอิทธิพลของรัสเซียอย่างเหนียวแน่นมากขึ้น ในขณะที่การปราบปรามการจลาจลในคาซัคสถานจะยังคงเป็นสัญลักษณ์ที่แข็งแกร่งแห่งแบบจำลองการปกครองที่ไม่ใช่ตะวันตกและระเบียบของยูเรเชีย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของความล้มเหลวของตะวันตกในการสนับสนุนและส่งเสริมการสร้างชาติในระยะยาวในอัฟกานิสถาน ภารกิจการรักษาเสถียรภาพของระบอบการปกครองในระยะสั้นและคุ้มทุนที่นำโดยรัสเซียนั้นอาจกลายเป็นแบบจำลองที่โดดเด่นมากขึ้นสำหรับรัฐบาลท ี่มีความคิดคล้ายคลึงกัน

(hg/ht/pk, transl. by vv)  

 

รัสเซียย้ายการซ้อมรบทางเรือตามแผนออกไปนอกเขตเศรษฐกิจพิเศษ (EEZ) ของไอร์แลนด์ หลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก

รัสเซียกล่าวว่าตนจะย้ายการซ้อมรบทางเรือที่วางแผนไว้ออกไปนอกเขตเศรษฐกิจพิเศษของไอร์แลนด์ หลังจากถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากรัฐบาลไอร์แลนด์ที่กล่าวว่าการซ้อมรบดังกล่าว “ไม่เป็นที่ต้อนรับ” ในท่ามกลางความตึงเครียดทางการทูตอย่างต่อเนื่องระหว่างมอสโกกับบรรดาชาติตะวันตกเกี่ยวกับการระดมกำลังทหารของรัสเซียตลอดแนวชายแดนยูเ ครน

ยูริ ฟิลาตอฟ เอกอัครราชทูตรัสเซียกล่าวว่าการตัดสินใจย้ายการซ้อมรบเป็น “การแสดงความปรารถนาดี” หลังจากการพบปะกับผู้แทนของอุตสาหกรรมการประมงของไอร์แลนด์ เขากล่าวว่าการตัดสินใจดังกล่าว “มีเป้าหมายที่จะไม่ขัดขวางกิจกรรมการประมงของเรือประมงไอร์แลนด์ในพื้นที่การทำประมงแบบดั้งเดิม” [Euractiv]

ก่อนการตัดสินใจของรัสเซียนั้น ไซมอน โคเวนีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไอร์แลนด์กล่าวว่าแผนการของรัสเซียที่จะจัดการซ้อมรบนั้น “ไม่เป็นที่ต้อนรับ” นี่ “ไม่ใช่เวลาที่จะเพิ่มกิจกรรมทางทหารและความตึงเครียดในบริบทของสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับและในยูเครนในขณะนี้” เขากล่าว [AOL]

รัฐบาลไอร์แลนด์ได้ออกคำเตือนไปยังเรือเดินทะเลทุกลำว่าการฝึกซ้อมรบจะเริ่มขึ้นในวันที่ 3 กุมภาพันธ์และจะใช้เวลาห้าวัน การซ้อมรบดังกล่าวมีกำหนดจะกระทำขึ้นภายในเขตเศรษฐกิจพิเศษของไอร์แลนด์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อยู่ห่างจากชายฝั่งไอร์แลนด์ออกไปราว 130 ไมล์ทะเล ที่ซึ่งประเทศนี้มีสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในการทำประมง

การตัดสินใจของรัสเซียที่จะจัดซ้อมรบทางทะเลเกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นกับชาติตะวันตก มอสโกได้รวบรวมและวางกำลังทหารหลายหมื่นนายไว้ตามแนวชายแดนยูเครน และขู่ว่าจะส่งทหารไปยังคิวบาและเวเนซุเอลาหากองค์การนาโตที่นำโดยสหรัฐฯ ขยายสมาชิกภาพเข้าไปในขอบเขตอิทธิพลของมอสโก

องค์กรผู้ผลิตปลาแห่งไอร์แลนด์ตอนใต้และตะวันตกได้กล่าวว่าจะขัดขวางการซ้อมรบโดยการแล่นเรือเข้าไปในพื้นที่นั้นเพื่อบังคับให้กองเรือ รัสเซียเปลี่ยนเส้นทางเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกัน พวกเขากลัวว่าการซ้อมรบอาจสร้างความเสียหายต่อการดำรงชีวิตโดยรบกวนและทำลายทุกชีวิตในทะเลและรูปแบบการอพยพย้ายถิ่น [Politico Europe]

“ผมคิดว่าสัปดาห์นี้แผนการขัดขวางของพวกเขามีประสิทธิภาพมากและโน้มน้าวใจมาก” โคเวนีย์กล่าว “ผมคิดว่านี่เป็นตัวอย่างที่ดีขององค์กรการประมงและรัฐบาลที่ทำงานควบคู่กัน”[Euractiv]

หน่วยงานการบินของไอร์แลนด์ได้กล่าวว่าจะไม่มีผลกระทบต่อความปลอดภัยในการปฏิบัติการของเครื่องบินพลเรือน รัสเซียแจ้งหน่วยงานการบินของไอร์แลนด์ล่วงหน้าแล้วเกี่ยวกับกิจกรรมที่วางแผนไว้ [AOL]

ขณะนอร์เวย์ทำการลาดตระเวนก็ได้พบเรือรบจำนวนหนึ่งกำลังแล่นไปยังไอร์แลนด์ ซึ่งรวมถึงหนึ่งในเรือลาดตระเวนติดขีปนาวุธที่ใหญ่ที่สุดของรัสเซียที่ชื่อ Marshal Ustinov ด้วย เรือลำนี้เป็นที่รู้จักกันในนาม “ผู้พิฆาตเรือบรรทุกเครื่องบิน” ที่มีความยาวเกือบ 200 เมตรและมีลูกเรือ 500 นาย ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารเชื่อว่ากองเรือรบนี้มีเรือห้าลำ [Irish Times]

สมาชิกรัฐสภาไอริชจำนวนสิบคนจาก 13 คน ซึ่งเป็นตัวแทนของพรรคการเมืองสำคัญทั้งหมด ได้เขียนจดหมายถึงผู้แทนระดับสูงด้านกิจการต่างประเทศของสหภาพยุโรปเพื่อเรียกร้องให้เขาแจ้ง “ความไม่สบายใจอย่างมาก” นี้ต่อเจ้าหน้าที่รัสเซียในระดับสูงสุด เชื่อกันว่าการซ้อมรบอาจเป็นการแสดงความแข็งแกร่งที่เกี่ยวข้องกับความตึงเครียดระหว่างรัสเซียกับยูเครน [Irish Examiner]

(nr/gc, transl. by vv)

 

หน่วยข่าวกรองของรัฐบาลอังกฤษอ้างว่าสายลับของจีนเข้าแทรกแทรงรัฐสภา

เอ็มไอ 5 หน่วยงานการต่อต้านข่าวกรองและความมั่นคงได้แจ้งกับเหล่าผู้แทนสภาฯว่าอาจมีสายลับของจีนที่ถูกต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกั บกิจกรรมทางการเมืองในสหราชอาณาจักร และให้การอุดหนุนทางการเงินผ่านการบริจาคเพื่อรับใช้และชี้นำสมาชิกสภาฯ 

เงินทุนนั้นคาดว่ามีที่มาจาก ชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในจีนและฮ่องกง

การออกประกาศเตือนเกี่ยวกับตัวบุคคลเป็นเรื่องที่มักจะไม่เกิดขึ้นสำหรับเอ็มไอ 5 และสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่าการสืบสวนมีการดำเนินการมา เป็นระยะเวลายาวนานและมีหลักฐานที่เพียงพอและ กระตุ้นให้เกิดความกังวลต่อสาธารณะ

สถานเอกอัครราชทูตของจีนในกรุงลอนดอนกล่าวหาเอ็มไอ 5 ว่า “ พูดข่มขู่และใส่ร้าย” ชุมชนชาวจีนในอังกฤษ ทางสถานเอกอัครราชทูตกล่าวผ่านถ้อยแถลงว่าจีนนั้น “ยึดถือหลักการไม่ก้าวก่ายมาโดยตลอด” ในเรื่องภายในของประเทศอื่นๆ [South China Morning Post] [BBC]. 

(pm/pk, transl. by ph)

 

สมาชิกรัฐสภาฯเร่งให้สหภาพยุโรปแสดงท่าทีต่อ “การแบ่งแยกและปกครอง” ของจีนที่สร้างแรงกดดันต่อลิทัวเนีย

สมาชิกรัฐสภายุโรปกว่า 40 คนได้เรียกร้องให้เหล่าผู้นำของสหภาพยุโรปแสดงท่าทีต่อการกดดันทางการทูตและทางเศรษฐกิจของจีนต่อลิทัวเนีย โดยเตือนว่าการไม่ทำอะไรเลยอาจเปิดทางให้จีนเสื่อมเอกภาพของสหภาพยุโรป [South China Morning Post] 

สมาชิกรัฐสภายุโรปจำนวน 41 คนได้กล่าวเตือนผ่านหนังสือที่ยื่นต่อเหล่าผู้นำแห่งสหภาพยุโรป โดยรวมไปถึง นายชาร์ลส์ มิเชล (Charles Michel) ประธานคณะมนตรียุโรป  นางเออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน (Ursula von der Leyen) ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป  และนายโจเซป บอร์เรลล์ (Josep Borrell) ผู้แทนระดับสูงแห่งสหภาพยุโรปด้านต่างประเทศ ว่าการวางเฉยอาจทำให้จีนนั้น “ยกระดับความรุนแรง” ของแนวทาง “การแบ่งแยกและปกครอง” ต่อประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรป รวมไปถึงความพยายามที่จะลดบทบาทของสหภาพยุโรปบนเวทีโลก [South China Morning Post]

การเรียกร้องต่อท่าทีเป็นผลมาจากเหตุที่ลิทัวเนียต้องเผชิญข้อกีดกันทางการค้าของจีนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการตอบโต้ตอบโดยรัฐบาลจีนต่อก ารเปิด “สำนักงานผู้แทนไต้หวัน” ในกรุงวิลนีอุสเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา   ผู้สังเกตุการณ์กล่าวว่าการปกป้องลิทัวเนียคือตัวบ่งชี้ ว่าสหภาพยุโรปจะสามารถเสนอการโต้ตอบทั้งในเชิงเอกภาพและในเชิงกลยุทธ์ต่อแรงกดดันทางเศรษฐกิจจากจีนได้หรือไม่  [South China Morning Post] [Financial Times] [VOA] [EUObserver]

คณะผู้แทนทางการทูตของไต้หวันในประเทศอื่นๆจะถูกตั้งชื่อว่า “สำนักงานผู้แทนไต้หวัน” เพื่อหลีกเลี่ยงการยอมรับอธิปไตยของไต้หวันอย่าง เปิดเผย ซึ่งจีนนั้นมองว่าเป็นเพียงมณฑลหนึ่งที่แยกตัวออกไป [Financial Times]

อัตราส่งออกของลิทัวเนียที่มีต่อจีนลู่ลงเป็นร้อยละ 91.4 เมื่อเดือนธันวาคมหลังจากที่ภาคธุรกิจจำนวนมากในแถบบอลติกถูกถอดออกจากระบบศุลกาก รของจีน [South China Morning Post]

ข้อพิพาทดังกล่าวยังดึงความสนใจประเทศอื่นๆในยุโรป เช่น ฝรั่งเศส เยอรมนี และสวีเดน เป็นผลมาจากสินค้าส่งออกบางส่วนของพวกเขาถูกกีดกันไม่ให้นำขึ้นท่าเรือของจีนเพราะมีส่วนประกอบที่ถูกผลิตขึ้นในลิทัวเนีย ภาคธุรกิจในเยอรมนีที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์ ได้ขอให้ลิทัวเนียเร่งไกล่เกลี่ยกับรัฐบาลจีน  ผู้บริหารจากบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ Continental ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้นำภาคธุรกิจที่ได้ เข้าพบกับนางอิงกริดา ซีโมนุเต้ ( Ingrida Šimonytė ) นายกรัฐมนตรีแห่งลิทัวเนีย แสดงความกังวลต่อปัญหาดังกล่าว [South China Morning Post] [Reuters]

สืบเนื่องจากรายงานของ Financial Times นักกการทูตสหรัฐได้แนะให้เปลี่ยนชื่อสำนักงานของไต้หวันในกรุงวิลนีอุส ซึ่งประธานาธิบดีโจ ไบเดนก็ได้ปฏิเสธข้อกล่าวอ้างดังกล่าว โดยรายงานของ Reuters ได้หยิบยกคำพูดของเจ้าหน้าที่อาวุโสของสหรัฐฯท่านหนึ่งซึ่งกล่าวว่า“การที่เราจะเสนอแนะเพื่อกดดันให้เขาทำสิ่งใดนั้นขัด ต่อจุดที่เรายืนอยู่โดยสิ้นเชิง” [Reuters] [Financial Times] [Reuters] 

ท่ามกลางเสียงสะท้อนที่เพิ่มขึ้นของแนวคิดสนับสนุนไต้หวันในประเทศแถบยุโรป นาย ยาแน็ส ยานชา (Janez Janša) นายกรัฐมนตรีแห่งสโลวีเนียได้กล่าวถึงไต้หวันว่าเป็น “รัฐประชาธิปไตย” และยังมีการเจรจาเพิ่มเติมกับรัฐบาลไต้หวันในการสร้างสำนักงา นผู้แทนภายในดินแดนของทั้งสองประเทศ โดยรัฐบาลจีนได้นิยามข้อคิดเห็นของนายยานชาว่า“อันตราย” และทางจีนได้ตัดสัมพันธ์ทางกับทางธุรกิจของสโลวีเนียในวันถัดมา [South China Morning Post] [AiR No. 3, January/2022, 3] [VOA]

ต่อมานาย Anže Logar รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสโลวีเนียได้ให้การยืนยันว่า “ไม่มีการเปลี่ยนจุดยืน” ต่อนโยบายจีนเดียว โดย Monika Gregorcic ประธานคณะกรรมาธิการสภาฯด้านนโยบายการต่างประเทศ ได้กล่าวว่าสำนักงานจะเปิดทำการ“ภายใต้ชื่อไทเป” แทนการกล่าวถึงด้วย “ไต้หวัน” 

เหล่าผู้นำของสหภาพยุโรปได้เสนอให้มีการใช้กลไกสำหรับตอบโต้การคว่ำบาตรซึ่งจะทำให้กลุ่มประเทศมีเครื่องมือทางการเมืองที่จะต่อกรกับกา รระรานทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามกลไกดังกล่าวซึ่งถูกเสนอขึ้นเมื่อเดือนธันวาคม อาจต้องใช้เวลากว่าหลายปีที่จะสร้างให้เกิดขึ้นจริง [Politico]

ฝรั่งเศสได้ส่งสัญญาณให้มีการดำเนินการกับลิทัวเนียในเร็ววัน โดยเมื่อเจ้าหน้าที่อาวุโสของรัฐบาลฝรั่งเศสถูกถามว่ารัฐบาลของเขานั้นจะผลักดันท่าทีที่จะยืนกรานต่อรัฐบาลจีนก่อนที่กลไกสำหรับตอบโต้ การคว่ำบาตรจะพร้อมใช้งานหรือไม่ เขาได้บอกกับ Politico ว่า “ใช่เราจะดำเนินการให้เร็วที่สุด”

ในขณะเดียวกันทางรัฐบาลของสหภาพยุโรปเริ่มพยายามเตรียมการประชุมใหญ่กับทางรัฐบาลจีนให้เกิดขึ้นก่อนปลายเดือนมีนาคม โดยคณะกรรมาธิการยุโรปเริ่มทำการยื่นฟ้องจีนกับองค์การการค้าโลก ไต้หวันได้ให้คำมั่นที่จะสนับสนุนการลงทุนด้านเทคโนโลยีของลิทัวเนีย [Politico] [VOA] [Reuters] [South China Morning Post] 

(ek/pk, transl. by ph)

 

ผู้แทนสภาฯจากฝรั่งเศส สหภาพยุโรป และสหราชอาณาจักรเร่งให้มีการจัดการกับการละเมิดสิทธิในเขตปกครองซินเจียง

เมื่อวันที่ 20 มกราคม รัฐสภาฝรั่งเศสได้ผ่านมติเรียกร้องให้รัฐบาลประณาม “อาชญากรรมต่อมนุษยชาติและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ของรัฐบาลจีนที่กระทำต่อชนกลุ่มน้อ ยมุสลิมอุยกูร์ในเขตปกครองซินเจียง และดำเนินการผ่านนโยบายการต่างประเทศเพื่อป้องกันการละเมิดดังกล่าว

โดยมติดังกล่าวผ่านการรับรองด้วยเสียงสนับสนุนจำนวน 169 เสียงและมีเพียงเสียงเดียวที่คัดค้าน  สภาผู้แทนราษฎรของฝรั่งเศสร่วมกับกลุ่มเหล ่าผู้แทนสภาฯจากประเทศทางฝั่งตะวันตก เพื่อประณามการละเมิดสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลจีนในการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ที่เกิดขึ้นในเขตปกครองซินเจียง โดยสมาชิกรัฐสภาจากเนเธอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร และเบลเยี่ยมก็ได้ผ่านมติลักษณะเดียวกัน [France 24]

ในวันเดียวกัน สภายุโรปได้รับรองมติในเรื่องการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานในฮ่องกง ประณามความเสื่อทรามด้านสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นในอดีตอาณานิคมของอังกฤษ  ซึ่งรวมไปถึง “การกีดกันอย่างรุนแรงในเรื่องเสรีภาพในการพูด เสรีภาพในการสมาคมและสื่อ” มติดังกล่าวกระตุ้นให้คณะมนตรียุโรปกำหนด “มาตรการคว่ำบาตรแบบเจาะจง” กับเจ้าหน้าที่รัฐฯของฮ่องกงและจีนที่ มีส่วนในการปราบปรามด้านสิทธิมนุษยชน โดยเรียกร้องให้มี “การคว่ำบาตรทางการทูตและทางการเมือง” กับโอลิมปิคฤดูหนาวในกรุงปักกิ่งที่กำลังจะจัดขึ้น [European Parliament]

ในขณะเดียวมีการถกเถียงในสภาฯของอังกฤษ โดยเหล่าผู้แทนเรียกร้องให้รัฐบาลยกระดับมาตรการคว่ำบาตรเพื่อใช้กับจีนและประกาศขึ้นบัญชีดำสินค้าที่นำเข้าจากจีน รวมถึงมาตราการอื่นๆเพื่อตอบโต้กับการละเมิดสิทธิของกลุ่มชนอุยกูร์และกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆในเขตปกครองซินเจียง [South China Morning Post]

เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา สภาผู้แทนราษฎรของอังกฤษเห็นชอบต่อญัตติที่ระบุว่ากลุ่มชนอุยกูร์ในเขตปกครองซินเจียงคือเหยื่อของอาชญากรรมต่อมนุษยชาติและการฆ่าล้างเ ผ่าพันธุ์ เหล่าผู้แทนฯเรียกร้องให้รัฐบาลใช้กฎหมายระหว่างประเทศเพื่อยุติการละเมิดดังกล่าว [AiR No. 17, April/2021, 4]

(pm/dql/pk, transl. by ph)

 

เยอรมนีและจีนจัดการเจรจาระดับสูง

แอนนาลีน่า แบร์บอค (Annalena Baerbock) ผู้ซึ่งล่าสุดได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแห่งเยอรมนี และนายหวัง อี้ (Wang Yi) ได้ร่วมเจรจาครั้งแรกผ่านการประชุมทางไกลเมื่อวันที่ 20 มกราคม ในเรื่อง “ความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีและประเด็นสำคัญของโลก” และในเรื่องของ “ข้อคิดเห็นที่ไม่ตรงกันในด้านสิทธิมนุษยชน” กล่าวโดยรัฐมนต รีการต่างประเทศของเยอรมนี

ผู้สังเกตุการณ์มองว่าเหตุการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการแสดงเครื่องยืนยันระหว่างยุโรปกับนโยบายกอบโกยของจีน ซึ่งประกอบไปด้วย “การเจรจาและความแกร่ง 
Foreign Ministry, Germany, in German] [South China Morning Post]

ในขณะเดียวกันกระทรวงการต่างประเทศของจีนรายงานว่ารัฐมนตรีทั้งสองเห็นพ้องที่จะ“เจรจาในระดับเท่าเทียมว่าด้วยเรื่องสิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตย และประเด็นอื่นๆบนพื้นฐานของการเคารพซึ่งกันและกัน เพื่อที่จะเสริมสร้างความเข้าใจร่วมกัน และหลีกเลี่ยงการทูตไมโครโฟน ” [Foreign Ministry, China]

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 17 มกราคม นายโอลัฟ ช็อลทซ์ (Olaf Scholz) นายกรัฐมนตรีแห่งเยอรมนี ได้มีการพูดคุยผ่านทางโทรศัพท์กับนายหลี่ เค่อเฉียง (Li Keqiang) นายกรัฐมนตรีของจีน โดยภายหลังได้มีการเรียกร้องให้มุ่งส่งเสริมความร่วมมือที่ “อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง” นายโอลัฟ ช็อลทซ์ได้กล่าวว่าทางเยอรมนีพร้อมที่จะ “ยกระดับความร่วมมือในด้านการค้าและเศรษฐกิจ” อ้างอิงจากถ้อยแถลงจากการเจรจาของกระทรวงการต่าง ประเทศของจีน [Foreign Ministry, China 2]

อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าเรื่องของสิทธิมนุษยชนจะไม่ได้อยู่ในประเด็นการเจรจาเนื่องจากเรื่องเหล่านี้ไม่ได้ถูกพูดถึงในถ้อยแถลงของรัฐบ าลเยอรมนี [Federal Government, Germany, in German]

การเจรจาระหว่างนายโอลัฟ ช็อลทซ์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมาก็มิได้มีการกล่าวถึงประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน [see AiR No. 52, December/2021, 4]

(pm/dql/pk, transl. by ph)

 

องค์กรตรวจสอบ: คอรัปชั่นหลังม่านโรคระบาดโควิด-19 ที่เกิดขึ้นทั่วยุโรป 

รายงานฉบับล่าสุดจากองค์กรอิสระเพื่อความโปร่งใสนานาชาติระบุว่า รัฐบาลแห่งสหภาพยุโรปใช้การแพร่ระบาดของโรคเป็นเหตุผลในการเพิกเฉยต่อความพยายามที่จะต่อต้านการคอรัปชั่น ลดการมีส่วนรับผิดชอบและความโปร่งใส [Transparency International] [The Independent]

รายงานเมื่อวันที่ 25 มกราคม โอดถึงความล้มเหลวของรัฐบาลแห่งสหภาพยุโรปในการที่จะปกป้องผู้ให้เบาะแส โดยมีเพียง 5 จาก 27 คนเท่านั้นที่ได้รับคำสั่งจากคณะกรรมาธิการยุโรปเพื่อส่งตัวให้ได้รับการคุ้มครอง

รายงานยังกล่าวถึง เรื่องอื้อฉาวในการจัดซื้อจัดจ้างทั่วยุโรป โดยให้เหตุผล นเรื่องกฎเกณฑ์ที่ไม่รัดกุมในช่วงการแพร่ระบาดของโรคเผื่อเร่งกระบวนการในการจัดซื้อ

ตามรายงานระบุว่ารัฐบาลนั้นยังมิได้ชำระความโปร่งใสของมาตราการในการดำเนินงาน โดยเจ้าหน้าที่รัฐในสหภาพยุโรป มีความกังวลสืบเนื่องจากการที่สหภาพยุโรปจะทำการจัดสรรเงินเยียวยาต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นจำนวน 8 แสนล้านยูโร แก่รัฐบาลในประเทศกลุ่มสมาชิก ด้วยความที่เป็นเงินทุนก้อนใหญ่และให้ในเวลาอันรวดเร็วจะทำให้เสี่ยงต่อการคอรัปชั่นมากขึ้น อ้างอิงจากองค์กรอิสระเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ [Politico]

ฟินแลนด์ เดนมาร์ก และนิวซีแลนด์ ถูกจัดให้อยู่ในอันดับต้นๆโดย องค์กรอิสระเพื่อความโปร่งใสนานาชาติระบุว่าเป็นประเทศที่มีการคอรัปชั่นน้อยที่สุดในโลก โดยจำแนกให้ประเทศทางยุโรปตะวันตกเป็นพื้นที่ที่มีการคอรัปชั่นน้อยที่สุด

ประเทศที่มีระดับการคอรัปชั่นมากที่สุดในยุโรปคือ บัลแกเรีย ฮังการีและโรมาเนีย โดยในระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาเอสโตเนีย สโลวาเกีย กรีซ และอิตาลี ได้มีการพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจาก “ผลพึงพอใจที่สืบเนื่องมาจากการปฏิรูปเพื่อต่อต้านคอรัปชั่น” ในทางกลับกันโปแลนด์ ฮังการีและไซปรัสถูกจำแนกว่ามีคะแนนลดลงอย่างมากตามรายงาน [The Independent]

องค์กรฯ ให้ความสนใจโดยเฉพาะกับสโลวีเนีย โดยกล่าวว่าการให้คะแนนถือว่า “ต่ำสุดในประวัติการณ์” โดยกล่าวว่ารัฐบาลแห่งสโลวีเนีย “ ได้สร้างแรงกดดันต่อหน่วยงานอิสระที่ตรวจสอบ”  และยังคุกคามเสรีภาพการชุมนุมอย่างสงบ โดยจำกัดการประท้วงอย่างสิ้นเชิงและปล่อย “แคมเปญลดความน่าเชื่อถือ” เพื่อตอบโต้สื่อสารธารณะในประเทศ  [Politico]

องค์กรฯ ก็ได้กล่าวถึงคำเตือนในเรื่องความโปร่งใสลักษณะเดียวกันกับออสเตรีย โดยกล่าวหาว่าไม่แสดงความพยายามทีจะต่อต้านการคอรัปชั่น เน้นย้ำไปถึงข้อกล่าวหาของนายเซบาสเตียน คูร์ซ (Sebastian Kurz) นายกรัฐมนตรีแห่งออสเตรียผู้ติดสินบนกับสื่อเผื่อให้รายงานผลโพลที่ไม่เป็นความจริง [The New York Times]

(qv/pk, transl. by ph)

 

สาธารณรัฐเช็กเร่งสานสัมพันธ์กับไต้หวัน

ศูนย์ทรัพยากรด้านจีนศึกษาแห่งไต้หวัน (Taiwan Resource Center for Chinese Studies) จะถูกจัดตั้งขึ้นในมหาวิทยาลัยมาซาริกแห่งสาธารณรัฐเช็ก หลังจากการเจรจากว่า 6 เดือนกับสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเปในกรุงปราก  [Focus Taiwan].

นายปีเตอร์ เฟียลา (Petr Fiala) นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐเช็กผู้ที่เพิ่งได้รับเลือกตั้งเมื่อเดือนที่ผ่านมา ได้อนุมัตินโยบาย 4 ปีที่จะเสริมสร้างความสัมพันธ์กับไต้หวัน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี และอินเดีย อีกทั้งประเมินความสัมพันธ์ที่มีอยู่กับสาธารณรัฐประชาชนจีนและรัสเซีย [Taipei Times]

ในขณะเดียวกันเมื่อวันที่ 21 มกราคม กระทรวงการต่างประเทศของไต้หวันได้แสดงการสนับสนุนต่อมติที่ผ่านโดยรัฐมนตรีการต่างประเทศของสาธารณรัฐเช็กและประเทศในสหภาพยุโรป ให้เฝ้าระวังการกดดันทางเศรษฐกิจของจีนต่อลิทัวเนียอย่างใกล้ชิด

(eb/pk, transl. by ph) 

 

สหภาพยุโรปขู่คว่ำบาตรรัฐบาลเซอร์เบียในบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา สหรัฐฯคว่ำบาตรนายดอดิก

สหภาพยุโรปเตือนรัฐบาลเซอร์เบียแห่งบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาว่าอาจใช้ “มาตราการ” รวมถึงการคว่ำบาตรและถอนการช่วยเหลือ หลังจากที่เหล่าผู้นำฉลองเทศกาลวันหยุดด้วยถ้อยคำที่เป็น “คำพูดเชิงลบ แบ่งแยก และปลุกปั่น” [EEAS]

สหภาพยุโรปได้ออกถ้อยแถลงหลังจากการเฉลิมฉลองของสาธารณรัฐเซิร์ปสกา เมื่อวันที่ 9 มกราคมในโอกาสฉลองครบรอบการประกาศอิสระภาพเมื่อปี 1992 โดยกล่าวว่าถ้อยแถลงจากผู้นำบอสเนีย-เซิร์บ “เป็นภัยต่อความมั่นคงและข ัดแย้งกับมุมมองของสหภาพยุโรปโดยสิ้นเชิง” ศาลรัฐธรรมนูญแห่งบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาได้ประกาศให้วันหยุดเทศกาลดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนู ญ

นายมิลอราด ดอดิก (Milorad Dodik) ผู้นำบอสเนีย-เซิร์บกล่าวว่าสาธารณรัฐเซิร์ปสกาคือ“รัฐของเรา” และ “วันหนึ่งจะกลายเป็นรัฐอิสระที่มีรัฐบาลกลางและไม่ขึ้นตรงต่อเซอร์เ บีย” Zeljka Cvijanovic ผู้เป็นประธานาธิบดีได้กล่าวว่าบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาคือ “ความล้มเหลวและเครื่องบ่อนทำลายเราทุกคน” [Euractiv] 

ทางการสหรัฐฯได้ทำการคว่ำบาตรนายดอดิกเมื่อต้นเดือนมกราคม โดยเจ้าหน้าที่ทางการของสหรัฐฯกล่าวหาเขาในการมีส่วนเกี่ยวข้องเรื่องการแบ่งแยกบอสเนียและเซอร์เบีย นายแอนโทนี บลิงเคน (Antony Blinken)  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯกล่าวว่า “การกระทำดังกล่าวเป็นการย้ำถึงการที่สหรัฐฯพร้อมจะสนับสนุนอธิปไตยและบูรณภาพ แห่งดินแดนของบีไอเอช (อักษรย่อของบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา) หลักนิติธรรม ระบอบประชาธิปไตย และอนาคตที่ดีขึ้นของประชาชนชาวบีไอเอช” [Newsweek]

นายดอดิกเชื่อว่าบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา “เป็นเพียงรัฐที่ถูกตั้งขึ้น” และมีความพยายามหลายครั้งที่จะถอดถอนหน่วยงานของเซิร์บจากรัฐบ าลกลาง เช่นกลาโหม ระบบการเก็บภาษี และระบบตุลาการ ตลอดเวลาที่ผ่านมานายดอดิกปฏิเสธการสังหารหมู่เซรเบรนิสซา (Srebrenica massacre) ในปี 1995 ที่ชาวมุสลิมบอสเนียถูกฆาตกรรมจำนวน 8,000 คนภายใต้สงครามบอสเนีย [RadioFreeEurope]

การประกาศอิสรภาพของสาธารณรัฐเซอร์เบียจากบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาเป็นก้าวสำคัญที่เกิดขึ้นหลังจากสงครามบอสเนียเมื่อเดือนเมษายน 1992 [Reuters]

บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนามีระบอบการปกครองโดยกำหนดผ่านทางชาติพันธ์ของสองรัฐบาลตั้งแต่ปี 1995 โดยมีสหพันธรัฐบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาและสา ธารณรัฐเซิร์ปสกา ในขณะที่สหพันธรัฐบีไอเอชประกอบไปด้วยชาวบอสเนียและโครเอเชีย ส่วนสาธารณรัฐเซิร์ปสกาประกอบไปด้วยชาวเซิร์บเป็นส่วนมาก รัฐบาลต่างๆล้วนมีกฎหมาย ประธานาธิบดีและกองกำลังตำรวจเป็นของตนเอง

(nw/gc, transl. by ph) 

 

ตุรกีและอาร์มีเนียจัดการหารือที่ 'สร้างสรรค์' หลังจากความสัมพันธ์ตึงเครียดมานานหลายทศวรรษ

ได้มีการหารือระหว่างทูตพิเศษของตุรกีและอาร์มีเนียเมื่อวันที่ 14 มกราคมที่กรุงมอสโก เพื่อพยายาม สมานความสัมพันธ์ ที่ตึงเครียดในอดีต แม้ว่าจะไม่มีการประกาศมาตรการที่เป็นรูปธรรม หลังจากการหารือ นาน 90 นาทีในเมืองหลวงของรัสเซีย  [ France 24] [AlJazeera]

กระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองประเทศได้ออกแถลงการณ์ว่า รูเบน รูบินยาน ทูตพิเศษของอาร์มีเนีย และเซอร์ดาร์ คิลิก ทูตพิเศษของตุรกี ได้พบหารือกัน “ในบรรยากาศที่ดีและสร้างสรรค์” โดยทั้งสองฝ่าย ตกลงที่จะดำเนินกระบวนการเจรจาต่อไปโดยไม่ต้องมีเงื่อนไขเบื้องต้น และมุ่งเป้าไปที่ "การปรับความสัมพันธ์ ให้คืนสู่สถาพปกติ" [ France 24] [AlJazeera]

กระทรวงการต่างประเทศของอาร์มีเนีย คาดว่าการหารือจะนำไปสู่การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต และการเปิดพรมแดน ในขณะที่ สำนักข่าว TASS ของรัสเซียรายงาน โดยอ้างคำแถลงของกระทรวงฯ ว่าอันเดรย์ รูเดนโก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัสเซียเป็นตัวกลางในการประสาน ให้มีการ หารือดังกล่าว  [TASS]  [Christian Science Monitor]

การหารือฯ เป็น “ความพยายามอย่างแท้จริงที่จะขจัดความแตกต่างทั้งหลาย เพื่อที่จะสามารถสร้างระบบ เศรษฐกิจโลจิสติกส์ ระหว่างทั้งสองประเทศ”  ธีโอดอร์  คาราสิก ที่ปรึกษาอาวุโสของ Gulf State Analytics กล่าว

ทั้งสองประเทศมีประวัติความเป็นปรปักษ์มาอย่างยาวนาน ย้อนกลับไปสู่การสังหารหมู่ชาวอาร์มีเนียภายใต้ การปกครอง ของเติร์กออตโตมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1  โดยอาร์มีเนียกล่าวว่ามีผู้เสียชีวิต 1.5 ล้านคนในปี ค.ศ. 1915 ซึ่งถือเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ จุดยืนนี้ได้รับการเห็นพ้องจากสหรัฐฯ และบางประเทศ แต่ตุรกีโต้แย้งข้อมูลตัวเลขดังกล่าวและปฏิเสธการสังหารที่เป็นระบบหรือเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ [Christian Science Monitor] 

ทั้งสองประเทศไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางการทูตและเศรษฐกิจมานานกว่า 30 ปี และในปี ค.ศ. 2009 ได้มีการบรรลุข้อตกลงเพื่อทำไปสู่การปรับความสัมพันธ์ให้เป็นปกติ ซึ่งจะนำไปสู่การเปิดพรมแดนร่วม แต่ความตกลงฯ ไม่ได้รับการให้สัตยาบัน [AlJazeera]  [Christian Science Monitor]

ในปี ค.ศ. 2020 ความตึงเครียดระหว่างทั้งสองประเทศ ปะทุขึ้นอีกครั้ง ในกรณีข้อพิพาทเหนือดินแดน นากอร์โน-คาราบาคห์ ซึ่งตุรกีสนับสนุนอาเซอร์ไบจาน และกล่าวหาอาร์มีเนียว่าไปครอบครองดินแดนดังกล่าว ทั้งนี้ ในช่วงความขัดแย้ง อุตสาหกรรมการป้องกันประเทศของตุรกีเป็นผู้จัดหาปัจจัยให้กับกองกำลังของ อาเซอร์ไบจาน [VOA] 

ในความพยายามที่จะปรับปรุงความสัมพันธ์ ทั้งสองประเทศได้แต่งตั้งทูตพิเศษและอนุญาตให้สายการบิน ราคาประหยัดเริ่มเที่ยวบินระหว่างเยเรวานและอิสตันบูลในวันที่ 2 กุมภาพันธ์  โดยเพกาซัสแอร์ไลน์ สายการบินราคาประหยัดของตุรกี ได้เปิดขายบัตรโดยสารเที่ยวบินอิสตันบูล-เยเรวาน และจะดำเนินการ สัปดาห์ละ 3 ครั้ง หลังจากที่คณะกรรมการการบินพลเรือนของอาร์มีเนีย อนุมัติเมื่อวันที่ 10 มกราคมให้ดำเนินการบินในเส้นทางดังกล่าว [Tass] 

เยเรวานได้ประกาศเมื่อเดือนธันวาคม ว่ากำลังยกเลิกการห้ามส่งสินค้าของตุรกีซึ่งกำหนดไว้เพื่อตอบโต้ อังการาที่สนับสนุนอาเซอร์ไบจานที่พูดภาษาเตอร์ก ในกรณีความขัดแย้งคาราบาคห์ [ France 24] [AlJazeera][TASS]

(gc, transl. by tj)

 

การเจรจากับตาลีบันเรื่องความช่วยเหลือและสิทธิสตรี ในขณะที่วิกฤตด้านมนุษยธรรมเลวร้ายลง

การเจรจาที่กรุงออสโลเป็นเวลา 3 วัน ระหว่างกลุ่มตาลีบัน กับนักการทูตตะวันตกและคณะผู้แทนอื่นๆ เกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือแก่อัฟกานิสถาน ท่ามกลางวิกฤตด้านมนุษยธรรมที่เลวร้ายลงในประเทศนั้น นายกรัฐมนตรีนอร์เวย์ ถือว่า “ประสบความสำเร็จ" [AP News]

การประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมครั้งแรกในยุโรปตั้งแต่กลุ่มตาลิบันได้เข้าครอบครองอัฟกานิสถานในช่วงฤดูร้อน [BBC]

ในอัฟกานิสถาน การว่างงานและราคาอาหารได้พุ่งสูงขึ้น ภายหลังจากการล่มสลายของรัฐบาลที่ได้รับการ สนับสนุนจากสหรัฐฯ ในกรุงคาบูลและการเข้ายึดครองของตาลิบัน [BBC] องค์กรให้ความช่วยเหลือและหน่วยงานระหว่างประเทศประเมินว่าชาวอัฟกันมากกว่าครึ่งกำลังเผชิญกับความอดอยากอย่างรุนแรง [Al Jazeera]

รักษาการรัฐมนตรีต่างประเทศตาลิบัน อามีร์ ข่าน มุตตากี ได้ยกย่องการเจรจาในเมืองหลวงของนอร์เวย์ ซึ่งสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 25 มกราคม โดยบอกกับสำนักข่าว Associated Press ว่า “มันเป็นการเดินทางที่ดีมาก ซึ่งจะพาเราเข้ามาใกล้ชิดกับโลกมากขึ้น” [AP News]

โจนัส กาหร์ สทอร์ นายกรัฐมนตรีนอร์เวย์ กล่าวว่าการเจรจาดังกล่าว “จริงจัง” และ “จริงใจ” พร้อมเสริมว่าการ เยือนกรุงออสโลของกลุ่มตาลิบันไม่ได้หมายความมี “การยอมรับระดับนานาชาติในระบอบการปกครองของ ตาลิบันโดยพฤตินัย” [AP News] 

ยาน กาห์ร อีเกแลนด์ เลขาธิการสภาผู้ลี้ภัยแห่งนอร์เวย์ หนึ่งในองค์กรด้านมนุษยธรรม ที่ได้เข้าร่วมใน การเจรจาได้เรียกร้องให้ “ยุติการคว่ำบาตรที่กำลังทำร้ายพลเมือง” [Norway Today]

ในขณะเดียวกัน มหาอำนาจตะวันตกกำลังเรียกร้องให้เพิ่มสิทธิแก่สตรีและเด็กผู้หญิงชาวอัฟกัน ก่อนที่จะยอมผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตร ซึ่งนายกรัฐมนตรีนอร์เวย์กล่าวว่ามีความจำเป็นต้อง “ให้เด็กผู้หญิงกลับเข้าโรงเรียนในเดือนมีนาคม โดยเฉพาะผู้ที่อายุมากกว่า 12 ปี” [AP News]

กลุ่มตาลิบัน ได้เรียกร้องให้มีการปล่อยทรัพย์สินของอัฟกานิสถานจำนวน 10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่ถูกตรึงไว้โดยสหรัฐอเมริกาและประเทศตะวันตกอื่น ๆ แต่ยังไม่มีข้อตกลงในประเด็นนี้ [AP News]

(mh/pk, transl. by tj)

 

รัสเซียและปากีสถานสนใจโครงการท่อส่งก๊าซ

รัสเซียและปากีสถานกำลังหารือเพื่อสรุปแผนการเยือนกรุงอิสลามาบัดที่สำคัญยิ่งของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินในปลายปีนี้ สำนักข่าว The Express Tribune รายงาน โดยทั้งสองฝ่ายหวังว่า จะเปิดตัวโครงการ ท่อส่งก๊าซมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ

มีรายงานว่า อิมราน ข่าน นายกรัฐมนตรีของปากีสถาน ได้ย้ำคำเชิญในการสนทนาทางโทรศัพท์ กับนายปูติน เมื่อวันที่ 17 มกราคม นอกจากนี้ คาดว่าผู้นำทั้งสองจะพบกันนอกรอบที่กรุงปักกิ่ง ในพิธีเปิดการแข่งขัน กีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว [Dawn]

ผู้นำทั้งสองยังได้หารือเกี่ยวกับสถานะของโครงการท่อส่งก๊าซ ปากสตรีม มูลค่า 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะมีการส่งก๊าซธรรมชาติจำนวน 12.3 พันล้านลูกบาศก์เมตรต่อปีจากคลังนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว ในเมืองการาจีและกวาดาร์ ริมทะเลอาหรับไปยัง เมืองลาฮอร์ทางตะวันออกเฉียงเหนือ

ความตกลงเดิมมีการลงนามในปี ค.ศ. 2015 แต่ไม่ได้มีการดำเนินการโครงการ เนื่องจากการคว่ำบาตร ของสหรัฐอเมริกาและยุโรปต่อกลุ่มบริษัท รอสเทค ของรัสเซียที่รัฐเป็นเจ้าของ รวมถึงข้อพิพาท เกี่ยวกับค่าธรรมเนียมการขนส่งทางท่อ [AiR No. 35, August/2021, 5]

ก่อนการสนทนาทางโทรศัพท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานของปากีสถานประกาศ เมื่อวันที่ 15 มกราคม ว่ากำลังเจรจากับรัสเซียเพื่อสร้างท่อส่งก๊าซจากคาซัคสถานไปยังปากีสถาน [The Express Tribune]

ท่อส่งก็าซที่วางแผนไว้นี้ ถือเป็นความพยายามล่าสุดของอิสลามาบัดในการเสริมความแข็งแกร่ง ในการเชื่อมต่อกับคาบูลและเอเชียกลาง แต่ไม่รวมส่วนอื่น ๆ ของเอเชียใต้  เมื่อปีที่แล้ว ปากีสถาน อัฟกานิสถาน และอุซเบกิสถาน ได้ตกลงที่จะสร้างโครงการรถไฟไตรภาคีมูลค่า 4.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ  เพื่อเชื่อมต่อมะซารีชะรีฟ เปชวาร์ และ คาบูล

(lm/pk, transl. by tj)

 

สหราชอาณาจักรและอินเดีย เปิดการเจรจาการค้าเสรีอย่างเป็นทางการ

สหราชอาณาจักรและอินเดียได้เปิดการเจรจาความตกลงการค้าเสรีอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 13 มกราคม ซึ่งเป็นที่คาดว่าจะเพิ่มการค้าทวิภาคีเป็นสองเท่าภายในปี ค.ศ. 2030 เนื่องจากลอนดอน กำลังพยายาม กระชับความสัมพันธ์ให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้นกับนิวเดลี ในฐานะเสาหลักสำคัญภายหลัง เบร็กซิต ที่มีนโยบายโอนเอียง ไปยังภูมิภาคอินโดแปซิฟิก มากขึ้น

ทั้งสองประเทศให้คำมั่นที่จะแสวงหาความตกลงการค้าเสรีเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ในระหว่างการ หารือระหว่างบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีของสหราชอาณาจักรและนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรี ของอินเดีย การหารือครั้งนั้น ได้เข้ามาแทนที่การเยือนทางการค้าของจอห์นสันที่ได้ถูกยกเลิกไป ท่ามกลางจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในอินเดียที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว [AiR No. 19, May/2021, 2]

ความต้องการหลักของสหราชอาณาจักรรวมถึงการยกเลิกการเก็บภาษีนำเข้าเหล้าสก๊อตวิสกี้และรถยนต์ ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 150 เปอร์เซ็นต์และ 125 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ลอนดอนหวังด้วยว่า นิวเดลีจะเป็นลูกค้า รายใหญ่ของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเส้นทางการค้าของ ภาคบริการในปัจจุบัน จะมีความเข้มแข็งขึ้น ในทางกลับกัน มีรายงานว่าอินเดียต้องการให้ชาวอินเดียได้รับ วีซ่าสหราชอาณาจักร ง่ายขึ้น [GOV.UK]

สำหรับข้อตกลงในการเพิ่มธุรกิจสองทางให้มีมูลค่า 38 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ภายในปี ค.ศ. 2035 นั้น มีรายงานว่า สหราชอาณาจักร กำลังดำเนินการ อย่างดีที่สุดเพื่อชดเชยการสูญเสียทางพาณิชย์ ที่มีนัยสำคัญ กับสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นคู่ค้าที่ใหญ่ที่สุด ภายหลังจากเบร็กซิต ด้วยเหตุนี้ นิวเดลีจึงยินยอมที่ จะพิจารณา ข้อตกลงชั่วคราวเพื่อ “ให้บังเกิดผลประโยชน์เบื้องต้น” ภายในหนึ่งปี [The Independent] [The Straits Times] 

(lm/pk, transl. by tj)

 

ประธานรัฐสภาเช็กเรียกร้องให้ชาวฮังการีขับไล่นายกรัฐมนตรีออร์บาน

ประธานรัฐสภาของสาธารณรัฐเช็กได้จุดชนวนให้เกิดความขัดแย้งโดยเรียกร้องให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในฮังการีซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านในภูม ิภาค ขับไล่นายกรัฐมนตรีวิกตอร์ ออร์บานที่ดำรงตำแหน่งผู้นำชาตินิยมมายาวนาน ในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในเดือนเมษายน

โฆษก มาร์เคตา เปกาโรวา อดาโมวา กล่าวในโพสต์บนเฟสบุ๊คว่า “ชาวเช็กได้ขับไล่ บาบิช แล้ว ข้าพเจ้าหวังว่า ชาวฮังกาเรียนจะประสบความสำเร็จเช่นกัน”

อันแดรย์ บาบิช อดีตนายกรัฐมนตรีของสาธารณรัฐเช็ก ซึ่งเป็นมหาเศรษฐี ที่ไม่นิยมยุโรป ได้ถูกขับออกจากการ เลือกตั้งรัฐสภาในเดือนตุลาคม บาบิชได้ถูกตรวจสอบโดยคณะกรรมาธิการยุโรปว่าละเมิดกฎว่าด้วยผล ประโยชน์ทับซ้อนเกี่ยวกับการควบคุมกองทุนทรัสต์ที่เชื่อมโยงกับอาณาจักรธ ุรกิจ แอกโกรเฟิร์ต ของเขา [Reuters]

ในโพสต์ของเธอเมื่อวันที่ 8 มกราคม  เปกาโรวา อดาโมวา กล่าวเสริมว่า “เป็นสิ่งสำคัญสำหรับสาธารณรัฐเช็ก และฮังการี ที่จะลงคะแนนเสียง ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการเลือกตั้งในเดือนเมษายน เช่นเดียวกับเรา” [Euractiv] [Bloomberg]

ผู้นำฝ่ายค้านต่างๆของสาธารณรัฐเช็ก ได้เรียกร้องให้ เปกาโรวา อดาโมวา ลาออกเพราะความคิดเห็นของเธอ [Bloomberg]

นายกรัฐมนตรี ปีเตอร์ เฟียลา ของสาธารณรัฐเช็ก ได้ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็น โดยกล่าวว่าเขาไม่ต้องการ ที่จะ “ปลุกเร้าบรรยากาศที่ร้อนแรงอยู่แล้ว” [Euractiv]

การเลือกตั้งรัฐสภาของฮังการีจะมีขึ้นในวันที่ 3 เมษายน ออร์บาน นายกรัฐมนตรีฝ่ายขวาที่ดำรงตำแหน่ง ในปัจจุบัน เป็นผู้ชื่นชม "ประชาธิปไตยที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด" และได้ปะทะกับสหภาพยุโรป หลายครั้งท่ามกลาง ข้อกล่าวหาว่าเขาได้บ่อนทำลายบรรทัดฐานประชาธิปไตย  ออร์บ าน ซึ่งเป็นพันธมิตรของบาบิช จะเผชิญหน้ากับกลุ่มพันธมิตรฝ่ายค้านหลายฝ่ายที่รวมกันเป็นปึกแผ่นเมื่อเร็วๆ นี้ [Politico] [Euractiv]

(sdo/pk, transl. by tj)

 

กฎหมายรัฐธรรมนูญและการเมืองในยุโรปตะวันตก 

 
 

ฝรั่งเศส: สำนักงานกฎหมายทบทวนกฎหมายต่อต้านการทุจริตของฝรั่งเศสโดยกล่าวว่า'เวลากำลังเปลี่ยนแปลง (อีกครั้ง)’

ฝรั่งเศสได้ยื่นร่างกฎหมายต่อรัฐสภา เพื่อเปลี่ยนกรอบกฎหมายที่สนับสนุนการต่อต้านการทุจริต อย่างมีนัยสำคัญ แต่สำนักงานกฎหมาย เดเชิร์ตในนครฟิลาเดลเฟียระบุว่ายังไม่แน่ว่าจะผ่านหรือไม่

ร่างกฎหมายใหม่จะเปลี่ยนกฎหมายต่อต้านการทุจริตในปัจจุบันที่เรียกว่า ซาปิน II อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อฝรั่งเศสประกาศใช้กฎหมายนี้ เมื่อเกือบห้าปีที่แล้ว กฎหมายดังกล่าวถือเป็นการแหกกฎ  โดย เดเชิร์ต ได้เขียนเมื่อวันที่ 5 มกราคมในบทความเรื่อง “การปฏิรูปกฎหมายต่อต้านการทุจริตของฝรั่งเศส: ยุคสมัยกำลังเปลี่ยนไป (อีกครั้ง!)” [Dechert]

จากนั้น กฎหมาย “ได้แนะนำนวัตกรรมที่สำคัญจำนวนหนึ่ง รวมถึงความสามารถของบริษัท ที่จะเสนอและเจรจา ข้อตกลงการดำเนินคดีที่รอการตัดบัญชีแบบฝรั่งเศสที่เรียกว่า Convention judiciaire d'intérêt public (CJIP) การขยายขอบเขตของบทบัญญัติกฎหมายอาญาบางข้อ และการก่อตั้งสำนักงาน ต่อต้านการทุจริตของฝรั่งเศส” เดเชิร์ตกล่าว [Dechert]

เดเชิร์ต ระบุว่า เมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2021 มีรายงานที่จัดทำโดยสมาชิกรัฐสภาฝรั่งเศส 2 ท่านซึ่งรวมถึง ข้อเสนอแนะ 50 ข้อ ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้นำเสนอร่างกฎหมายดังกล่าวในรัฐสภาเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม ค.ศ. 2021 เพื่อเสริมสร้างกรอบกฎหมายที่สนับสนุนการต่อต้านการทุจริตในหลาย ๆ ด้านที่สำคัญ [Dechert]

ในบทความของ เดเชิร์ต  [ article ] ร่างกฎหมายฉบับใหม่จะ "เปลี่ยนแปลง" กรอบงานของ ซาปิน II ในปัจจุบันอย่างมีนัยสำคัญ โดยจะให้ความคุ้มครองเพิ่มเติมสำหรับ บริษัท และพนักงาน นอกจากนี้ยังจะเพิ่มภาระผูกพันและความเสี่ยงให้กับบริษัทที่ดำเนินงานในฝรั่งเศสอีกด้วย [Dechert]

ร่างกฎหมายจะเสริมสร้างความเข้มแข็งในการบังคับใช้กฎหมายต่อต้านการทุจริตอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะเดียวกันก็ให้ความคุ้มครองเพิ่มเติมแก่บริษัทและพนักงานด้วย เดเชิร์ต กล่าว [Dechert]

บริษัทยินดีปฏิบัติตามข้อกำหนดบางประการ เช่น ความสามารถในการเข้าถึงแฟ้มคดี เมื่อเผชิญกับ การสอบสวนเบื้องต้น ข้อเท็จจริงที่ว่าเอกสารและข้อมูลทั้งหมดที่แลกเปลี่ยนระหว่างกระบวนการเจรจา CJIP จะยังคงเป็นความลับ และข้อเสนอเพื่อเพิ่มสิทธิในการป้องกันตัวของบุคคล

แต่บริษัทต่างๆ จะต้องเผชิญกับภาระผูกพันและความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน อาทิ การสร้างความล้มเหลว ครั้งใหม่ ในการป้องกันการกระทำผิด และการขยายภาระผูกพันในการปฏิบัติตามกฎระเบียบให้กับบริษัท ที่ดำเนินงานในฝรั่งเศส ซึ่งหมายถึงเกณฑ์ที่กำหนดโดยไม่คำนึงถึงสถานที่การรวมตัวกันเป็นบริษัท [Dechert]

“คงต้องติดตามต่อไปว่าร่างกฎหมายดังกล่าวจะถูกนำมาใช้หรือไม่” เดเชิร์ต เขียน “หากเป็นเช่นนั้น บริษัทต่างๆ จะต้องใส่ใจกับภาระผูกพัน ความรับผิดชอบ และความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นอย่างระมัดระวัง” [Dechert]

(gc, transl. by tj)

 

เยอรมนี:การพิจารณาคดีของศาลต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจลับของซีเรียในข้อหาก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘ประวัติศาสตร์’

เมื่อวันที่ 13 มกราคม ศาลในเยอรมนี ได้ตัดสินลงโทษอดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยสืบราชการลับของซีเรีย ในข้อหาก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ฐานกำกับการทารุณกรรมผู้ถูกคุมขังในเรือนจำใกล้ดามัสกัสเมื่อ 10 ปีก่อน เจ้าหน้าที่สิทธิมนุษยชนระดับสูงขององค์การสหประชาชาติ ระบุว่าการพิจารณาคดีดังกล่าวเป็น "ประวัติศาสตร์" หลังจากการปราบปรามโดยระบอบการปกครองของซีเรีย เป็นเวลาหลายปี

ศาลระดับภูมิภาคในเมืองโคเบลนซ์ ได้พิพากษาจำคุกตลอดชีวิตนายอันวาร์ ราสลัน วัย 58 ปี ในการพิจารณา คดีอาญาครั้งแรกของโลกเกี่ยวกับการทรมานโดยรัฐในซีเรีย เขาถูกตัดสินว่ามีความผิดในการกำกับ การฆาตกรรมคน 27 คนที่ศูนย์กักกันอัลคาติบในดามัสกัสหรือที่เรียกว่า "สาขา 251" ในปี ค.ศ. 2011 และ 2012 [Daily Sabah] [Stars&Stripes] [VOA][Spiegel]

มิเชล บาเชเลต์ ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ กล่าวว่า "การพิจารณาคดีนี้ชี้ให้เห็นถึง ความจำเป็นและความสำคัญ อีกครั้งต่อการทรมานที่น่าสะอิดสะเอียน การปฏิบัติที่โหดร้ายและไร้มนุษยธรรม อย่างแท้จริง รวมถึงความรุนแรงทางเพศอย่างต่ำทราม ที่ชาวซีเรียจำนวนนับไม่ถ้วนต้องถูกควบคุมตัว ในสถานกักกัน" “คำตัดสินน่าจะช่วยกระตุ้นความพยายามทั้งหลายในการขยายขอบเขตความรับผิดชอบสำหรับผู้กระทำความผิดทั้งหมดในอาชญากรรมที่ไม่สามารถบรรยาย ได้ซึ่งเป็นลักษณะของความขัดแย้งที่โหดร้ายนี้” เธอกล่าว [OHCHR]

สิบปีของสงครามกลางเมืองในซีเรียได้คร่าชีวิตผู้คนไปอย่างน้อย 350,000 คน มิเชล บาเชเลต์ ข้าหลวงใหญ่ฯ บอกกับคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งซีเรียเมื่อเดือนกันยายน โดยระบุว่ายอดผู้เสียชีวิตทั้งหมดนั้น “ต่ำกว่าจำนวนการสังหารที่แท้จริง” สำนักงานของเธอกำลังประมวลข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถูกกล่าวหา บันทึกสถานะของเหยื่อว่าเป็นพลเรือนหรือผู้ทำการรบ และประเภทของอาวุธที่ใช้ บาเซเลต์ กล่าว [UN]

ในฐานะหัวหน้าคณะกรรมการข่าวกรองทั่วไปของซีเรียภายใต้ระบอบการปกครองของบาชาร์ อัล-อัสซาด ราสลันมีหน้าที่รับผิดชอบการสังหารและการทรมานนักโทษมากกว่า 4,000 คนในดามัสกัส ราสลัน อ้างความบริสุทธิ์ของเขา โดยกล่าวว่าเขาไม่ได้ทรมานหรือออกคำสั่งให้กระทำเช่นนั้น แต่พยานมากกว่า 80 คนให้การปรักปรำเขา ซึ่งนำไปสู่การตัดสินว่ามีความผิด [Spiegel]

การพิจารณาคดีเริ่มขึ้นเมื่อเดือนเมษายน 2020  เป็นคดีอาชญากรรมสงครามครั้งแรกของสงครามกลางเมือง ในซีเรียที่สมาชิกของรัฐบาลซีเรียต้องตอบการกระทำของพวกเขา[Deutsche Welle] การตัดสินโทษ ราสลัน โดยศาลเยอรมัน เกิดขึ้นได้โดยหลักการของเขตอำนาจศาลสากลที่กำหนดไว้ในกฎหมายอาญาระหว่าง ประเทศ [Associated Press]

(yp/gc, transl. by tj)

 

กฎหมายรัฐธรรมนูญและการเมืองในยุโรปเหนือ

 
 

เดนมาร์ค อดีตรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมถูกดำเนินคดีข้อหาการเปิดเผยความลับของรัฐ และอดีตหัวหน้าฝ่ายความมั่นคงถูกจับกุม 

อดีตรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมของเดนมาร์ค Claus Hjort Frederiksen ถูกจับกุมบนข้อหาการเปิดเผยความลับของรัฐท่ามกลางข่าวอื้อฉาวเรื่องความมั่นคง  [Euronews]

Frederiksen ที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมตั้งแต่ปี 2016 ถึง to 2019 ถูกดำเนินคดีหลังรายงานจากสหรัฐอเมริกาเรื่องการสอดแนมประเทศอื่นโดยใช้ข้อมูลทีได้รับจาก Danish Defence Intelligence Service (FE). [Financial Times] [Euronews].

สำนักงานข่าวของรัฐ ของเดนมาร์ค DR รายงานเมื่อปีที่แล้วว่า  FE  ให้ความช่วยเหลือหน่วยงานความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ในการรวบรวมข้อมูลทางความมั่นคงเรื่องการเมืองในยุโรปรวมถึงเรื่องของอดีตนายกรัฐมนตรีเยอรมัน นางแองเกล่า แมร์เคิล ตั้งแต่ปี 2012 to 2014. [BBC News]

มีรายงานว่า NSA สามารถเข้าถึงข้อความในมือถือและบทสนทนาทางโทรศัพท์โดยการดักฟังเคเบิลอินเตอร์เน็ตของเดนมาร์คผ่านทาง FE. [BBC News]

Frederiksen ถูกดำเนินคดีภายใต้มาตราของประมวลกฎหมายอาญาของประเทศที่รวมถึงข้อหาก่อการกบฏ ซึ่งมีบทลงโทษสูงสุดโดยการจำคุก เป็นเวลา 12 ปี [Reuters]

Frederiksen กล่าวในแถลงการณ์ผ่านพรรคฝ่ายกลางขวา Liberal เมื่อวันที่ 14 มกราคมว่า: “ผมไม่มีความคิดที่จะกระทำการใด ๆ ที่จะทำให้เดนมาร์คอยู่ในอันตรายหรือทำให้ผลประโยชน์ของเดนมาร์คได้รับความเสียหาย.” [Reuters].

อดีตหัวหน้าด้านความมั่นคงต่างประเทศ Lars Findsen ถูกควบคุมตัวข้อหาเปิดเผยข้อมูลที่เป็นความลับ  Findsen อธิบายว่าข้อกล่าวหาดังกล่าว “ประสาท” และประกาศว่าเขาจะไม่สารภาพยอมรับผิด [BBC News]

(mh/pk, transl. by nl)

 

กฎหมายรัฐธรรมนูญและการเมืองในยุโรปกลาง

 
 

โปแลนด์: ฝ่ายเสรีนิยมกังวล เนื่องจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทำการควบคุมโรงเรียนมากขึ้น 

ผู้ออกกฎหมายของโปแลนด์ได้ทำการรับรองร่างกฎหมายการศึกษาที่เป็นที่โต้แย้ง ซึ่งได้รับการวิจารณ์ว่ามีวัตถุประสงค์ที่จะบังคับใช้ความคิดที่เป็นฝ่ายขวาจัดในห้องเรียนและทำให้การสอนเรื่องกลุ่มคนที่มีความหลากหล ายทางเพศเป็นเรื่องที่น่าประนาม   

ภายใต้กฎหมายที่ได้รับการรับรองจากรัฐสภาเมื่อวันที่ 13 มกราคม กิจกรรมเพิ่มเติมที่ดำเนินการโดยองค์กรที่ไม่แสวงหากำไรหรือ NGOs ในโรงเรียนจะต้องได้รับการรับรองโดยผู้ที่รัฐบาลแต่งตั้งให้เป็นผู้กำกับ ดูแล ซึ่งบุคคลดังกล่าวจะมีอำนาจเพิ่มเติม ผู้กำกับดูแลดังกล่าวจะสามารถสั่งให้หัวหน้าครูที่ไม่ดำเนินการตามคำสั่งพ้นจากตำแหน่ง หน่วยงานข่าวของรัฐ โปแลนด์  PAP รายงาน [TheNews.pl] 

ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับกฎหมายดังกล่าว โต้แย้งว่ากฎหมายจะทำลายความเห็นเสรีนิยมระหว่างเรียน จำกัดข้อมูลสำหรับผู้เยาว์เรื่องสิทธิในการสืบพันธุ์ และทำให้การควบคุมโรงเรียนดำเนินการโดยส่วนกลาง ทำให้รำลึกถึงช่วงที่โปแลนด์ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ กฎดังกล่าวยังต้องได้รับการอนุมัติจากประธานราดีก่อนจะมีผลบังคับใช้   

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษา Przemyslaw Czarnek กล่าวกฎระเบียบใหม่นั้นจำเป็นเพื่อที่จะ “ปกป้องเด็กจากการทุจริตทางจริยธรรม”  Czarnek ถูกวิจารณ์เนื่องด้วยความเห็นที่เป็นอนุรักษ์นิยมสุดโต่งและส่วนมากเป็นความเห็นที่นอกรีต รวมถึงการประกาศว่า “ความคิดเรื่องความหลากหลายทางเพศ” มาจาก “รากเหง้าเดียวกันกับลัทธินาซี” และผู้ที่ “สนับสนุนการเบี่ยงเบน” ไม่มีสิทธิเท่ากับ “คนปกติ” [Notes From Poland]

นักวิจารณ์กล่าวว่า พรรค nationalist Law and Justice (PiS) ที่ปกครองโปแลนด์ ที่ได้รับอำนาจตั้งแต่ปี 2015 และได้รับชัยชนะอีกครั้งสี่ปีถัดมา ได้ดำเนินการควบคุมทางการเมืองสำหรับสถาบันของรัฐ รวมถึงโรงเรียน Law and Justice ยังถูกกล่าวหาโดยพรรคฝ่ายค้านและนักการเมืองของสหภาพยุโรปกรณีที่ทำให้กลุ่มความหลากหลายทางเพศเปรียบเสมือนปีศาจ ฝ่ายเสรีนิยมและพรรคฝ่ายซ้ายเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนประเด็นที่พรรคที่ทำการปกครองเห็นว่าเป็นภัยคุกคามต่อจริยธรรมคาโธลิคดั้งเดิ มของโปแลนด์   

(pk, transl. by nl)

 

กฎหมายรัฐธรรมนูญและการเมืองในยุโรปใต้

 
 

อิตาลี : ประธานาธิบดีได้รับชัยชนะการเลือกตั้งอีกครั้งในขณะที่พรรคการเมืองไม่สามารถตกลงเรื่องผู้ที่จะมารับตำแหน่งต่อได้ แสดงให้เห็นถึงความขัดแย้ง  

ประธานาธิบดีของอิตาลี Sergio Mattarella ได้รับชัยชนะการเลือกตั้งอีกครั้งเมื่อวันที่ 29มกราคม ต่อเป็นการดำรงวาระในสมัยที่สองหลังจากการลงคะแนนหลายรอบในรอบสัปดาห์ ที่ไม่สามารถหาผู้สมัครที่จะทำให้เกิดความประนีประนอมที่จะมารับตำแหน่งต่อได้ ทั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งเชิงลึกในพรรคร่วมรัฐบาล. [Reuters] [The Guardian] [Politico]

หัวหน้าพรรคอ้อนวอน ให้ Mattarella ผู้อายุแปดสิบปี ดำรงตำแหน่งในวาระที่สองเป็นระยะเวลากว่าเจ็ดปีต่อ แม้ว่าเขาจะกล่าวว่าเขาต้องจากออกจากตำแหน่ง การตัดสินใจของเขาทำให้การเลือกตั้งก่อนกำหนดอาจจะไม่เกิดขึ้น  

Mattarella กล่าวต่อประชาชนในแถลงการณ์ทางโทรทัศน์จากพระราชวังประธานาธิบดีว่า เขาไม่สามารถให้ความต้องการส่วนตัวของเขาชนะ “ความรับผิดชอบ” ได้ เนื่องจากอิตาลีกำลังประสบ “ปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมที่เป็นภาวะฉุกเฉิน” เนื่องจากสถานการณ์โควิด. [AP]

นายกรัฐมนตรี Mario Draghi ผู้ได้รับคำชมอย่างทั่วไป ในการคืนความสมดุลให้แก่อิตาลีหลังจากรับตำแหน่งในปี  2021 หลังจากปัญหาทางการเมืองและทางเศรษฐกิจที่ยืดเยื้อเป็นปี ได้ขอร้องให้ Mattarella อยู่ในตำแหน่ง “เพื่อประโยชน์และมั่นคงของประเทศ”  สื่อของอังกฤษ The Guardian รายงาน.

Draghi ได้รับการจับตาว่าเป็นผู้สมัครเบอร์หนึ่งสำหรับตำแหน่งประธานาธิบดี แต่พรรคการเมืองที่ปกครองอิตาลีไม่สนับสนุนเขาเนื่องจากกังวลว่าการออกจากตำแหน่งของเขาจะทำให้เกิดการเลือกตั้งที่เร็วขึ้น [The Guardian] การหาตัวแทนเบอร์หนี่งที่สามารถออกคำสั่งกับฝ่ายที่มีคะแนนเสียงส่วนมากเป็นเรื่องยาก [Politico]

ในระบบการเมืองของอิตาลี ประธานาธิบดีมีหน้าที่เชิงพิธีการเป็นส่วนมาก แต่ มีอำนาจในการยุบสภา เลือกนายกรัฐมนตรีใหม่ และปฏิเสธอาณัติให้แก่พรรคร่วมที่อ่อนแอ ซึ่งแปลว่าประธานาธิบดีมีบทบาทสำคัญในช่วงเวลาวิกฤตทางการเมือง [BBC] รัฐบาลในอิตาลี ประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสามของสหภาพยุโรปอยู่ในอำนาจประมาณหนึ่งปีโดยเฉลี่ย [Reuters]

ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคการเมืองในพรรคร่วมรัฐบาลของ Draghi แย่ลงระหว่างกระบวนการเลือกตั้งประธานาธิบดี เพราะไม่สามารถมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าใครควรจะมาแทนที่ Mattarella และมีการกล่าวโทษซึ่งกันและกัน [Reuters]

Draghi จำเป็นต้องพยายามที่จะทำให้พรรคร่วมกลับมามีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายหลังจากความไว้ใจได้ถูกทลายลง  Politico รายงาน

(pk, transl. by nl)

 

โปรตุเกส : พรรคการเมืองฝ่ายสังคมนิยมได้รับคะแนนเสียงส่วนมากในรัฐสภา เป็นการปูทางสำหรับการจัดการเรื่องเศรษฐกิจขาลง 

เมื่อวันที่ 30 มกราคม ชาวโปรตุเกสได้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้พรรคฝ่ายสังคมนิยม ฝ่าย centre left ได้รับอำนาจ ทำให้แก้ไขความไม่แน่นอนทางการเมืองและการเงินที่เกิดจากความล้มเหลวของร่างงบประมาณท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะงักงัน [Euractiv]

พรรคสังคมนิยมของ Antonio Costa ได้รับที่นั่งในสภาฯ เพิ่มขึ้นเป็น  117 จากเดิม 108 ในรัฐสภาที่ประกอบไปด้วยสมาชิกจำนวน 230 คน และเป็นการได้รับเสียงข้างมากเด็ดขาดครั้งแรกนับจากปี  2005 พรรคฝ่ายค้านหลัก centre right PSD ได้รับชัยชนะร้อยละ 28 ของจำนวนที่นั่งทั้งหมด  [Euractiv][SCMP]

“เสียงข้างมากเด็ดขาดไม่ได้หมายถึงอำนาจเด็ดขาด” Costa กล่าวในสุนทรพจน์ที่ชนะ “ไม่ได้หมายถึงการปกครองเพียงลำพัง เป็นความรับผิดขอบที่เพิ่มขึ้น” [Euractiv] 

Costa อายุ 60 ปี จะเป็นผู้กำกับเศรษฐกิจที่ดิ้นรนเพื่อจะดีขึ้นหลังจากหดตัวลงไปร้อยละ 8.4 ในปี 2020 เนื่องจากสถานการณ์โควิดทำให้ภาคการท่องเทียวและธุรกิจสำ คัญอื่นๆ ได้รับผลกระทบ ในเดือนเมษายน รัฐบาลกล่าวว่าแผนการฟื้นฟูของสหภาพยุโรปจะส่งผลทางเศรษฐกิจถึง 22 พันล้านยูโร จนถึงปี 2025 ในโปรตุเกส . [Euractiv][SCMP]

ประธานาธิบดี Marcelo Rebelo de Sousa เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ได้ออกคำสั่งยุบสภาอย่างเป็นทางการ หนึ่งเดือนหลังการประกาศว่า เขาจะจัดให้มีการเลือกตั้ง สองปีก่อนกำหนดการ[EiR Monthly January 2021]

การตัดสินใจของเขาเกิดขึ้นหลังจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ปฏิเสธร่างงบประมาณปี 2022ที่มาจากรัฐบาลเสียงข้างน้อยฝ่ายสังคมนิยมของ  Put Costa จุดจบของเสถียรภาพทางการเมืองกว่าหกปี พรรคคอมมิวนิสต์และพรรคฝ่ายซ้ายที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาล กล่าวว่า Costaต้องการลดงบประมาณแทนการลงทุนในการสาธารณสุขและเพิ่มความคุ้มครองให้แก่ลูกจ้าง  [EiR Monthly December 2021]

โพลสำรวจความคิดเห็น ออกก่อนการเลือกตั้งระบุว่า พรรคสังคมนิยม ฝ่ายกลางซ้ายจะชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงที่มีนัยสำคัญเหนือพรรคฝ่ายค้าย แต่จะไม่ได้รับคะแนนเสียงข้างมากในสภาฯ นั่นจะหมายถึงความไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นและอาจส่งผลกระทบต่อโครงการที่ได้รับเงินสนับสนุนจากสหภาพยุโรปภายใต้งบฟื้นฟู เศรษฐกิจหลังสถานการณ์โควิด และส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ  [EiR Monthly December 2021]

(gc/pk, transl. by nl)

 

กฎหมายรัฐธรรมนูญและการเมืองในยุโรปตะวันออก

 
 

อาร์เมเนีย: ประธานาธิบดีลาออก ทำให้เห็นถึงการไม่มีอำนาจในการแก้ปัญหาของประเทศ 

ประธานาธิบดี Armen Sarkissian ลาออกเมื่อวันที่  23 มกราคม จากตำแหน่งที่เป็นสัญลักษณ์ ซึ่งเป็นการระบุว่าเขาไม่มีอำนาจภายใต้รัฐธรรมนูญของประเทศที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เป็นการดำเนินการที่ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์จากพรรคการเมืองต่างๆ. [Reuters] [MSN] [Azatutyun]

"การตัดสินใจดังกล่าวไม่ใช่การตัดสินใจทางอารมณ์ และมันเป็นไปตามตรรกะ” นักการเมืองอายุ หกสิบเก้าปีและ อดีตนายกรัฐมนตรีจากปี 1996-97 “ฉันคิดเป็นระยะเวลานาน และตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีหลังทำงานต่อเนื่องเป็นระยะเวลาสี่ปี”   [Reuters][MSN][UPI]

เขาได้รับการเลือกตั้งจากสมาชิกรัฐสภา ให้ดำรงตำแหน่งเชิงสัญลักษณ์ในปี 2018 เป็นเวลาเจ็ดปี ซึ่งจะสิ้นสุดในปี 2025 สมาชิกรัฐสภาเป็นตัวแทนพรรคการเมือง Civil Contract และพรรคฝ่ายค้านเสียงข้างน้อยในรัฐสภากล่าวว่า Sarkissian ตระหนักถึงอำนาจเชิงสัญลักษณ์ที่ประธานาธิบดีมีเมื่อขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีใน ช่วงต้นปี 2018 [Azatutyun]

“เขาไม่รู้ถึงข้อจำกัดของอำนาจอภิสิทธิ์เมื่อได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีหรือ” พรรคการเมือง Civil Contract Khachatur Sukiasian กล่าว “เขาต้องรู้เรื่องของรัฐธรรมนูญก่อนดำรงตำแหน่ง” [Azatutyun]

Hayk Mamijanian สมาชิกฝ่านค้านที่อยู่กับ Republican Party (HHK) กล่าวว่า Sarkissian ไม่ได้ดำรงตำแหน่งอย่างเหมาะสม “เขาร้องเพลงเดิมเป็นระยะเวลาสี่ปี” Mamijanian กล่าวกับผู้สื่อข่าว “พูดเรื่องเดิม อำนาจ อำนาจ อำนาจ เป็นเวลาสี่ปี ไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจได้สำหรับผม” [Azatutyun]

สงครามอาร์เมเนียกับอาเซอไบจันในพื้นที่ Nagorno-Karabakh เมื่อปลายปี 2020 ทำให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองภายในใน  Yerevan หลังการเสียดินแดนที่ขัดแย้งไป 

Sarkissian ทะเลาะกับนายกรัฐมนตรี Nikol Pashinyan หลังนายกฯ แต่งตั้ง Artak Davtyant. Pashinyan มาแทนที่ ผู้มีอำนาจสูงสุดของกองทัพบก เขามีอำนาจทางการบริหารในประเทศ ทำให้เกิดการเรียกร้องให้ลาออก ซึ่ง Sarkissian ปฏิเสธที่จะอนุมัติการแต่งตั้งดังกล่าว [UPI]

Sarkissian  เป็นผู้หนึ่งที่เรียกร้องให้ Pashinyan ลาออก เรียกร้องให้เขาลงจากตำแหน่งในสุนทรพจน์เดือนพฤศจิกายน  2020 speech titled "เป็นไปได้ที่จะแพ้สงครามแต่รับไม่ได้ที่จะเสียชาติ” [UPI]

(gc, transl. by nl) 

 

กฎหมายรัฐธรรมนูญและการเมืองในยุโรปตะวันออกเฉียงใต้

 
 

โคโซโว : ชนกลุ่มน้อยชาวเซริบถูกห้ามไม่ให้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งโดยตรงในคูหาเลือกตั้งในการลงประชามติของกลุ่มชาติพันธุ์เซอ ร์เบีย

โคโซโวออกกฎหมายจำกัดไม่ให้ชนกลุ่มน้อยชาวเซริบลงคะแนนเสียงโดยตรงใน พื้นที่ของกลุ่มผู้คนที่ถูกปิดล้อมหรือล้อมรอบด้วยพื้นที่ของกลุ่ มผู้คนอีกกลุ่มหนึ่งที่มีความแตกต่างกันในประชามติของเซอร์เบีย เป็นการดำเนินการที่ได้รับการวิจารณ์จากสหภาพยุโรปและประเทศตะวันตกอื่น. [AP News]

รัฐสภาเสียงข้างมากลงคะแนนในวาระพิเศษเพื่อจำกัดเซอร์เบียไม่ให้เปิดสถานที่ลงคะแนนในโคโซโว เจ็ดสิบหกจากหนึ่งร้อยยี่สิบคนลงคะแนนในวันที่  15  มกราคม สนับสนุนเรื่องดังกล่าว [Al Jazeera]

นายกรัฐมนตรี Albin Kurti กล่าวว่า คูหาลงคะแนนในพื้นที่ที่ส่วนใหญ่เป็นชาวเซริบไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญและ ชนกลุ่มน้อยชาวเซริบจะสามารถลงคะแนนทางไปรษณีย์หรือที่สำนักงานเขตในเมืองหลวง พริสตินา [DW] [Al Jazeera]

“โคโซโวเป็นรัฐเอกเทศและมีอำนาจอธิปไตย” Kurti กล่าว ในแถลงการณ์ร่วมของเยอรมัน อิตาลี ฝรั่งเศส สหภายุโรป สหราชอาณาจักร และสหรัฐฯ เรียกร้องให้โคโซโว อนุญาตให้ชนกลุ่มน้อยชาวเซริบลงคะแนนเสียง เพราะเป็น “การดำเนินการที่กำหนดมานานแล้ว” [Reuters]

“เราเข้าใจด้วยความเสียใจว่ารัฐบาลโคโซโวไม่อนุญาตให้ องค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (OSCE) เก็บบัตรลงคะแนนของผู้มีสิทธิ ลงคะแนนที่อยู่ในโคโซโวสำหรับประชามติที่จะเกิดขึ้นซึ่งสอดคล้องกับการดำเนินการในอดีต” รัฐบาลตะวันตกกล่าว 

ตำรวจของโคโซโว ไม่อนุญาตให้เจ้าหน้าที่ทางการเลือกตั้งของเซอเบียเข้าประเทศและยึดยานพาหนะที่ขนบัตรลงคะแนน เจ้าหน้าที่ของเซอเบีย Petar Petković กล่าวว่า “Kurti และผู้ที่สุดโต่งไม่ควรคิดว่าในอนาคตจะสามารถจำกัดชาวเซริปในโคโซโวจากการลงคะแนนเสียงได้” และกล่าวถึงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเลือกตั้งประธานาธิบดีและสภาผู้แทนราษฎรที่จะเกิดขึ้นในวันที่  3 เมษายน ในเซอร์เบีย 

ประชามติของเซอเบีย ดำเนินการเมื่อวันที่ 16 มกราคมและเปิดทางให้มีการเปลี่ยนแปลงในระบบยุติธรรมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพยุโรป [AP News] โคโซโว อดีตจังหวัดของเซอเบีย ประกาศเป็นอิสรภาพในปี 2008 แต่เซอเบียปฏิเสธที่จะยอมรับความเป็นอิสระดังกล่าวและยังถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาเขตตน  

(ec/gc, transl. by nl)

 

ตุรกี: สนับสนุนสำหรับประธานาธิบดี Erdogan ลดลงกับวิกฤตการณ์เศรษฐกิจอันยาวนาน

แรงสนับสนุนสำหรับประธานาธิบดี Tayyip Erdogan ผู้ที่ดำรงตำแหน่งมากว่าสองทศวรรษลดลงอย่างมากถึงจุดต่ำสุดนับจากปี  2015 เนื่องจากการจัดการทางเศรษฐกิจที่ผิดพลาดและอัตราเงินเฟ้อที่ส ูงขึ้นทำให้รายได้และเงินเก็บของชาวตุรกีลดลงและคุกคามต่ออำนาจของเขา [Intellinews][Reuters]

การสำรวจ Metropoll ที่ตีพิมพ์เมื่อเดือนมกราคมให้คะแนนความนิยม Erdogan อยู่ที่ร้อยละ 38.6 ทำให้เขาเป็นคนที่ได้รับความนิยมน้อยกว่าคู่แข่งสองคน ที่กำลังวางแผนจะลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนมิถุนายน 2023 คะแนนความนิยมสำหรับนายกเทศมนตรีเมืองอังการา  Mansur Yavas และนายกเทศมนตรี เมืองอิสตันบูล Ekrem Imamoglu ทั้งสองมาจากพรรคฝ่ายค้าน —Republic People’s Party — อยู่ที่ร้อยละ 60 และ 51ตามลำดับ  คะแนนความนิยมของหัวหน้าพรรค IYI Meral Aksener อยู่ที่ ร้อยละ 38.5[Intellinews][Reuters]

ตั้งแต่ปี 2018 ประเทศประสบกับปัญหาทางเศรษฐกิจที่ทำให้แย่ลงด้วยการรวมกันของแรงงานข้ามชาติจำนวนกว่าหลายล้านคน ผลกระทบของโควิดและการจัดการทางเศรษฐกิจที่ผิดพลาด  งบประมาณทางทหารจำนวนมากและปัญหาภูมิศาสตร์การเมือง ด้วยการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นปีหน้าErdogan และพรรคร่วมอาจจะประสบกับการคุกคามที่สำคัญต่อการอยู่ต่อในอำนาจ [EiR Monthly January 2022] 

แรงสนับสนุนสำหรับพรรค Justice and Development Party ก็ลดลง ด้วยสองในสามของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวกับ Sosyo Politik Field Research Centre  ว่าปัญหาเศรษฐกิจคือปัญหาใหญ่ที่สุดของตุรกี และครึ่งหนึ่งกล่าวว่ามาตรการของ Erdogan ไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น [Intellinews][Reuters]

โพล โดย Sosyo Politik ระบุว่าคะแนนนิยมของ AKP อยู่ที่ร้อยละ 27 เมื่อเปรียบเทียบกับร้อยละ 37 percent ที่กล่าวว่าลงคะแนนให้พรรคเมื่อการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนฯ ปี 2018 พรรคร่วมของในรัฐสภา the MHP มีคะแนนนิยมอยู่ที่ร้อยละ 6.3 ลดลงจาก ร้อยละ7.3 เดิม ที่ระบุว่าลงคะแนนให้พรรคเมื่อปี 2018  [Intellinews][Reuters]

โพล  ORC ที่จัดทำเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แสดงให้เห็นว่า คะแนนสนับสนุน AKP-MHP รวมกันเป็นร้อยละ 38.7 ตามหลัง CHP-IYI ที่อยู่ที่ร้อยละ 39.5 [Forbes].

ฝ่ายสนับสนุนรัฐบาล Daily Sabah รายงานเมื่อวันที่ 5 มกราคม ว่าคะแนนนิยมสำหรับ พรรคร่วม Justice and Development Part  People’s Alliance เพิ่มขึ้นหลังจากการประกาศของ Erdoğan เรื่องมาตรการทางการเงินสำหรับการปกป้อง lira ของตุรกีเมื่อวันที่20 ธันวาคมหนังสือพิมพ์ระบุว่าโพลดังกล่ าวดำเนินการโดย Optimar research company. [Daily Sabah]

(gc, transl. by nl)

 
 

Contributors and editorial team:

Beth Molloy (bm), Emiljano Cera (ec), Emre Can Çalışkan (ecc), Eric Kliszcz (ek), Glen Carey (gc), Harry McNeil, Harry Taunton (ht), Henning Glaser (hg), Imogen Groves (ig), Ivandzhelin Bozadzhieva (ib), Karina Corral (kc), Kendall Ashlee (ka), Marlene Busch (mb), Mustafa Hussain (mh), Nicholas Warren (nw), Peter Kononczuk (pk), Quentin Vidberg (qv), Robert Nielsen (rn), Sarah Donald (sdo), Sirima Sirimattayanan, Venus Phuangkom, Warren Ó Broin (wb), Yara Pstrong (yp)

 

Translators:

Tomwit Jarnson (tj), Natthanicha Lephilibert (nl), Aekpaween Anuson (aa), Vachiravan Vanlaeiad (vv), Pattariya Hansawong (ph)

 

เราจะขอบคุณมากสำหรับความคิดเห็นของคุณ! โปรดส่งความคิดเห็นใดๆ ที่คุณมีเกี่ยวกับจดหมายข่าวนี้ไปที่ : info@cpg-online.de 

นอกจากนี้ อย่าลืมกด Like CPG บน Facebook และเยี่ยมชม เว็บไซต์ ของเราสำหรับการอัปเดตข้อมูลข่าวสารอื่นๆ

 
FacebookWebsite
 
German-Southeast Asian Center of Excellence for Public Policy and Good Governance - CPG

Room 207, Faculty of Law, Thammasat University, 2 Prachan Road, Bangkok 10200, Thailand

www.cpg-online.de
www.facebook.com/cpgtu
Preferences  |  Unsubscribe