![]() ![]() คว้าข่าวสาร อ่านเทรนด์ยุโรป ฉบับที่ 1, มกราคม 2565
ส่งข่าวสารถึงคุณโดย CPG สนับสนุนโดย KAS ![]() เรียน ท่านผู้อ่าน ยินดีต้อนรับสู่ Europe in Review (EiR) ฉบับเดือนมกราคม ซึ่งเป็นฉบับแรกของปีพ.ศ. 2565 ทางทีม Europe in Review และ มูลนิธิคอนราด อาเดนาวร์ ขออวยพรให้ท่านประสบแต่ความสุข เกษมสำราญในวารดิถีขึ้นปีใหม่นี้ ณ โอกาสอันดียิ่งนี้ ทางทีมขอต้อนรับ Glen Carey ซึ่งจะมาเป็นรองบรรณาธิการบริหารให้กับทีม Europe in Review ร่วมกับ Peter Kononczuk ซึ่งได้ทำงานมาเป็นอย่างดีและส่งมอบบทความอันทรงคุณค่าแก่ท่านผู้อ่านตลอดปี 2564 Glen Carey เป็นนักข่าวสายกลาโหมของสหรัฐอเมริกา โดยสังกัดสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และเคยดำรงตำแหน่งหัวหน้าสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ซาอุดิอาระเบีย เป็นระยะเวลาหลายปี Peter Kononczuk เป็นนักข่าวสังกัดสำนักข่าว Agence France Presse ประจำกรุงลอนดอน ทางทีม CPG EiR และ มูลนิธิคอนราด อาเดนาวร์ มั่นใจว่าเราจะส่งมอบข่าวสาร Europe in Review ที่น่าสนใจ ให้ท่านผู้อ่านได้เห็นภาพรวมของภูมิรัฐศาสตร์ ระบอบการเมืองและการพัฒนาของประเทศต่างๆในยุโรปตลอดศักราชใหม่นี้ ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการอ่านบทความของเรา เฮนนิ่ง กลาเซอร์ บรรณาธิการบริหาร
เว็บไซต์: https://www.cpg-online.de, เฟซบุ๊ก: https://www.facebook.com/CPGTU (transl. by ss) Main Sections
สหภาพยุโรป ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและภูมิรัฐศาสตร์ ![]() มีความตึงเครียดในขณะที่กองทัพรัสเซียระดมกำลังพลบริเวณชายแดนยูเครนทำให้เกิดความหวาดกลัวว่าจะมีการบุกรุก ผู้นำตะวันตกเตือนถึง “ผลกระทบมหาศาลที่อาจจะตามมา” หากรัสเซียบุกยูเครนหลังจากระดมกำลังทหาร บริเวณชายแดนของทั้งสองประเทศ แต่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐฯ ได้ปฏิเสธว่าจะมีการแทรกแซง ทางทหารของสหรัฐฯ [France24] [Deutsche Welle] [Independent] ท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น รัฐบาลเคียฟได้ประมาณการว่ามีทหารมากกว่า 100,000 นายที่ประจำการในดินแดนรัสเซียที่มีพรมแดนติดกับยูเครนตอนเหนือและตะวันออกและแหลมไครเมีย [Reuters] [TASS] [Euronews] มอสโกได้ปฏิเสธแผนการบุกรุกมาโดยตลอด โดยโต้แย้งว่ารัสเซียกำลังปกป้องพรมแดนของตนเองจากการ คุกคามทางตะวันออกของนาโต้ [TASS][Macmillan Center] [Reuters] นักวิเคราะห์เสนอแนะว่ารัสเซีย ซึ่งยึดคาบสมุทรไครเมียของยูเครนในปี ค.ศ. 2014 และสนับสนุนกลุ่มแบ่งแยก ดินแดนในยูเครนตะวันออก กำลังแสดงความแข็งแกร่งเพื่อให้ นาโต้และสหภาพยุโรปดูอ่อนแอ ทั้งยังเตือนด้วยว่าวิกฤตครั้งนี้เป็นการทดสอบขีดความสามารถของกลุ่มในการสร้างเสถียรภาพในพื้นที่ [Politico Europe] ไบเดนได้เน้นย้ำว่า วอชิงตันสนับสนุน“อธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน” ของยูเครน และกล่าวว่าการส่งกองกำลังทหารอเมริกันไปลงพื้นที่ในยูเครนในกรณีที่รัสเซียบุก "ไม่ได้เป็นวาระ" ของรัฐบาลสหรัฐฯ แต่สหรัฐฯ จะยังคงส่งอาวุธและเสบียงให้ต่อไป [BBC News] [Reuters] การหารือระหว่างสหรัฐฯ นาโต้ องค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป และรัสเซีย ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดการกับความตึงเครียดนี้ คาดว่าจะมีขึ้นในช่วงต้นเดือนมกราคม [Moscow Times] [Deutsche Welle] [TN] ในชณะเดียวกัน ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ยืนยันว่าการกระทำของมอสโก “จะไม่ขึ้นอยู่กับการเจรจา แต่ขึ้นอยู่กับว่ารัสเซียมีความมั่นคงปลอดภัยอย่างไม่มีเงื่อนไขหรือไม่” [Ukrinform] [Moscow Times] [TASS] เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม รัสเซียได้ส่งรายการข้อเรียกร้องด้านความมั่นคงไปยังวอชิงตัน ซึ่งรวมถึงการถอน กำลังทหารออกจากรัฐภาคีนาโต้ทางตะวันออก และการรับประกันว่า ยูเครนจะไม่ได้รับสมาชิกภาพนาโต้ [Diário de Noticias] [Reuters] [Times] [TASS] ไบเดนได้รับข้อเรียกร้องที่คล้ายกันในการประชุมสุดยอดกับปูตินเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม ซึ่งผู้นำรัสเซียขอ “การค้ำประกันความปลอดภัยในระยะยาวและเชื่อถือได้” จากสหรัฐฯและพันธมิตร “ที่จะไม่ให้นาโต้เพิ่มการเคลื่อนไหวทางตะวันออกและการวางระบบอาวุธ ที่คุกคามเราใกล้กับดินแดนรัสเซีย” [TASS] [Week] ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยืนกรานว่ายูเครนมีสิทธิที่จะกำหนดความจงรักภักดีของตนเอง ซึ่งสะท้อนการเรียกร้อง ของรัฐมนตรีต่างประเทศยูเครน ดีมีโตร คูเลบา ที่กล่าวว่ารัสเซียไม่มีสิทธิที่จะปิดกั้นความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด ระหว่างเคียฟกับพันธมิตรทางทหารของนาโต้ คูเลบา กล่าวเพิ่มเติมว่า “การรับประกันความปลอดภัยใดๆ ที่มอสโกแสวงหาจากตะวันตกเป็นเรื่อง ผิดกฎหมาย” [CNN] [Reuters] ในระหว่างการหารือทางโทรศัพท์ เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม ไบเดนบอกกับปูตินว่าการโจมตียูเครนจะต้องพบกับ “ความเสียหายและผลที่จะตามมาอย่างรุนแรง” [Politico Europe] [TN] ผู้นำยุโรปจำนวนหนึ่งยังได้ออกคำเตือนถึง “ผลกระทบมหาศาล” ต่อรัสเซียในกรณีที่เกิดการบุกรุก ในการประชุมที่ลิทัวเนียเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ผู้นำของรัฐบอลติกเน้นย้ำ “ความพร้อมเพื่อให้การสนับสนุนที่ไม่ใช่ทางทหารและทางทหารแก่ยูเครนโดยทันที” ในขณะที่ผู้นำ G-7 ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม เรียกร้องให้รัสเซีย “ลดระดับความตึงเคียด หันมาใช้ช่องทางการทูต ตลอดจนปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศเกี่ยวกับความโปร่งใสของกิจกรรมทางทหาร” [LSM] [UK Government] เออร์ซูลา ฟอน เดอร์ ลีเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปกล่าวเมื่อวันที่ 16 ธันวาคมว่า “หากรัสเซียบุกยูเครน สหภาพยุโรปอยู่ในฐานะที่จะคว่ำบาตร ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสียหายมหาศาล” [Euronews] ถึงแม้ว่ารายละเอียดของการคว่ำบาตรดังกล่าวยังไม่ได้รับการเปิดเผย แต่นายกรัฐมนตรีของเยอรมนี โอลาฟ ช็อลซ์ ได้รับแรงกระตุ้นไม่ให้อนุมัติท่อส่งก๊าซ Nord Stream 2 ใหม่ ซึ่งผ่านยูเครน เนื่องจากรัสเซียสามารถ แผ่อิทธิพลไปทั่วยุโรป แต่มอสโกยืนยันว่าท่อส่งน้ำมันจากรัสเซียไปยังเยอรมนีจะต้องดำเนินการต่อไป [Politico Europe] [Euronews] [Reuters] [Reuters] ในขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีมาริโอ ดรากี ของอิตาลีกล่าวว่าระดับการสนทนาระหว่างประเทศจนถึงขณะนี้ ไม่ได้บ่งชี้ถึงการบุกรุกที่คาดว่าใกล้จะเกิดขึ้น โดยกล่าวว่า “ปูตินได้เป็นฝ่ายเริ่มติดต่อกับไบเดนทางโทรศัพท์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาต้องการเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการตัดสินใจ” ดรากีกล่าวเสริมว่า “นี่เป็นพฤติกรรมของคนที่ต้องการสำรวจความเป็นไปได้ทางการทูตทั้งหมด เพื่อบรรลุแนวทางแก้ไขปัญหาที่สมดุล” [Politico Europe] การถอนทหารรัสเซีย 10,000 นายในการฝึกรบเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม ได้รับการต้อนรับอย่างระมัดระวังจากบางฝ่ายว่าเป็นสัญญาณของการลดระดับความตึงเครียด [Deutsche Welle] [WELT] อเล็กซีย์ ดานิลอฟ เลขาธิการสภาความมั่นคงและกลาโหมของยูเครน คาดการณ์ว่าการบุกโจมตี ของรัสเซีย จะประสบความสำเร็จได้นั้น ต้องใช้ทหารอย่างน้อย 500,000 นาย หรือห้าเท่าของจำนวนที่ประจำการ อยู่บริเวณพรมแดนของประเทศยูเครนในปัจจุบัน [TASS] ยูเครนกำลังฉลอง 30 ปีแห่งอิสรภาพหลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี ค.ศ. 1991 เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ประธานาธิบดียูเครน โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี บอกกับหนังสือพิมพ์รายวัน ลา รีพับลิกา ของอิตาลีว่า “เราจะปกป้องดินแดนของเราและประชาชนของเราในทุกสถานการณ์จากการบุกรุกใดๆ ชาวยูเครนจะไม่ละทิ้งอิสรภาพ” [Kyiv Post] (ht/pk, transl. by tj) สหภาพยุโรป-สหรัฐฯ ขยายมาตรการคว่ำบาตรเบลารุส เนื่องจากเหตุวิกฤตผู้อพยพ สหภาพยุโรป สหรัฐฯ และชาติตะวันตกอื่นๆ ได้ร่วมมือกันดำเนินการเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรต่อเบลารุส เพื่อตอบโต้การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่องและการยุยงให้ผู้อพยพข้ามพรมแดนสหภาพยุโรปอย่างผิดกฎหมาย สภาสหภาพยุโรป กล่าวในแถลงการณ์ว่า มาตรการค่ำบาตรใหม่นี้ มุ่งเป้าไปที่เจ้าหน้าที่ในระบอบการปกครอง ของผู้นำเผด็จการของเบลารุส อเล็กซานเดอร์ ลูคาเชนโก สายการบินเบลาเวียที่รัฐเป็นเจ้าของ ตลอดจน ผู้ประกอบการท่องเที่ยวและโรงแรม “ที่มีส่วนในการปลุกระดมและจัดระเบียบการข้ามพรมแดน ที่ผิดกฎหมายผ่านเบลารุสไปยังสหภาพยุโรป”[Council of the EU] [Guardian] นอกเหนือจากการมุ่งเป้าหมายไปที่หน่วยงานในเบลารุส 11 แห่งแล้ว การคว่ำบาตรครั้งใหม่จาก สหภาพยุโรปที่ประกาศเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม กำหนดเป้าหมาย 17 คนในระบอบการปกครองของ ลูคาเชนโก ซึ่งรวมถึงผู้พิพากษา เจ้าหน้าที่ชายแดนและทหาร และผู้แทนรัฐบาล รวมถึงองค์กรการท่องเที่ยวของเบลารุส ซึ่งเจ้าหน้าที่ของสหภาพยุโรปอ้างว่าช่วยจัดเตรียมวีซ่าและการขนส่งให้แก่ชาวอิรักกว่า 50 คน สหราชอาณาจักรกำหนดมาตรการคว่ำบาตรชาวเบลารุสแปดคน “ที่รับผิดชอบต่อการกดขี่และละเมิดสิทธิ มนุษยชน” ในขณะที่สหรัฐฯ ตั้งเป้าไปที่บุคคลและหน่วยงาน 32 แห่ง รวมถึงมิทรี ลูกาเชนโก ลูกชายของ ประธานาธิบดีเผด็จของเบลารุส[Euronews] [Guardian] หนึ่งวันต่อมา มินสค์ขู่ว่าจะตอบโต้ โดยกระทรวงการต่างประเทศออกแถลงการณ์ว่าจะมี “มาตรการที่เข้มงวด ไม่สมมาตร แต่เหมาะสม” เพื่อตอบโต้เป้าหมายของตะวันตกที่จะ “บีบคอเบลารุสทางเศรษฐกิจ” [Guardian] แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวันที่ 2 ธันวาคมว่า การคว่ำบาตรแสดงให้เห็นถึง “ความมุ่งมั่นที่แน่วแน่ที่จะดำเนินการในการเผชิญกับระบอบการปกครองที่โหดเหี้ยมที่กดขี่ชาวเบลารุสมากขึ้น บ่อนทำลายสันติภาพและความมั่นคงของยุโรป และยังคงทำร้ายผู้คนที่แสวงหาเพียงการได้ดำรงชีวิต อย่างอิสระ ” ในวันเดียวกันนั้น โจเซป บอร์เรล ผู้แทนระดับสูงของสหภาพยุโรป ด้านการต่างประเทศ และนโยบายความมั่นคง กล่าวว่าสหภาพยุโรป“จะไม่ยอมให้รัฐบาลของ ลูคาเชนโก นำมนุษย์มาใช้เป็น เครื่องมือทางการเมือง” [Washington Post] [Council of the EU] เว็บไซต์ของสำนักข่าวของเยอรมนี เดอร์ สปีเกล รายงานเมื่อปลายเดือนว่า หลายมาตรการคว่ำบาตรไม่ได้ผล และให้การยกเว้นอย่างมีนัยสำคัญกับบริษัทเป้าหมายใน เบลารุส รายงานอ้างถึงตัวอย่างการส่งออก อย่างต่อเนื่องของเบลารุสไปยังประเทศต่างๆในยุโรป เช่น ปุ๋ยโพแทสเซียม น้ำมัน และไม้ซุง [Politico Europe] มาตรการคว่ำบาตรนี้ มีขึ้นท่ามกลางวิกฤตต่อเนื่องบริเวณชายแดนโปแลนด์-เบลารุส ซึ่งผู้อพยพยังคงเผชิญกับ สภาวะที่ยากลำบากในการพยายามเข้าสู่สหภาพยุโรป ในขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม รัฐสภาลิทัวเนียได้ลงมติให้ขยายระยะเวลาภาวะฉุกเฉิน ของประเทศ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อพยพเข้าสหภาพยุโรปมากขึ้น โดยผ่านทางชายแดนลิทัวเนีย-เบลารุส อนึ่ง อิงกริดา ซิโมนิเท นายกรัฐมนตรีลิทัวเนียกล่าวว่าจำนวนผู้อพยพที่พยายามข้ามพรมแดนลดลง แต่กระทรวงมหาดไทย เตือนเมื่อวันที่ 20 ธันวาคมว่าตัวเลขดังกล่าวอาจเพิ่มขึ้นอีกในเร็วๆ นี้ อักเน บิโลไทเท รัฐมนตรีมหาดไทยของลิทัวเนียกล่าวว่า ลูคาเชนโกได้สั่งให้ทางการ เบลารุสเคลียร์ผู้อพยพ ที่ถูกกักไว้ในโกดังใกล้ชายแดนและ "จะมีความพยายามในไม่ช้าที่จะผลักดันผู้อพยพเหล่านี้ไปยังลิทัวเนีย โปแลนด์ และลัตเวีย" เธอเสริมว่าอาจมีผู้อพยพติดค้างอยู่ในเบลารุสประมาณ 3,000 ถึง 4,000 คน [Reuters] [Euractiv] (ek/pk, transl. by tj) การประชุมสุดยอดของคณะมนตรียุโรปไม่ได้มีมติเกี่ยวกับราคาพลังงาน ในขณะที่โอมิครอนเป็นหัวข้อหลักของการอภิปราย การประชุมสุดยอดของคณะมนตรียุโรปในเดือนธันวาคมได้หารือเกี่ยวกับเรื่องโควิด-19 เบลารุส และแม้กระทั่ง ความตึงเครียดในเอธิโอเปีย แต่ประเด็นเรื่องราคาพลังงานที่สูงขึ้นกลับไม่ปรากฏชัด ในสรุปรายงานของ การประชุม ซึ่งตอกย้ำถึงความแตกแยกที่ชัดเจนระหว่างประเทศสมาชิกเกี่ยวกับวิธีจัดการกับราคาที่สูงขึ้น สำหรับผู้บริโภคและธุรกิจในยุโรป [Politico Europe] ตามรายงานของ ยูโรเปียน อิน รีวิว ก่อนหน้านี้ สเปนมีบทบาทนำในการผลักดันให้มีการปฏิรูปตลาดพลังงาน ของสหภาพยุโรปที่ “แข็งขัน” เพื่อจัดการกับราคาพลังงานที่สูงขึ้น ประเทศอื่นๆ เช่น เยอรมนีและเนเธอร์แลนด์ มองว่าราคาที่สูงขึ้นเป็นปรากฏการณ์ชั่วคราวและต่อต้านการปฏิรูปในวงกว้าง [Euractiv] [Reuters] [EiR Monthly November 2021] ในการประชุมสุดยอดคณะมนตรียุโรปครั้งล่าสุด นายกรัฐมนตรีเปโดร ซานเชซ แห่งสเปนได้ให้คำมั่น ที่จะกลับมาทบทวนราคาที่พุ่งสูงขึ้นอีกครั้งในเดือนธันวาคม อย่างไรก็ตาม การประชุมสุดยอดครั้งนี้สิ้นสุดลง โดยไม่มีข้อสรุปใดๆ เกี่ยวกับเรื่องพลังงาน แม้จะมีการอภิปรายในประเด็นปัญหานี้หลายชั่วโมงก็ตาม ซึ่งการรายงานของ โปลิติโก ยุโรป ระบุว่า “เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเกิดขึ้น"[Politico Europe] [Euractiv] ความกังวลล่าสุดเกี่ยวกับโควิด-19 โดยเแพาะ โอมิครอน อยู่ในอันดับต้นๆ ของวาระการประชุมฯ อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ข้อสรุปได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของ "การเอาชนะความลังเลที่จะรับวัคซีน" แต่ที่ประชุมฯ ไม่ได้ตกลงที่จะดำเนินการใดๆ ร่วมกันในทันทีกับเรื่องนี้ ประเทศสมาชิกได้เริ่มปิด การเดินทางระหว่างประเทศแล้ว ซึ่งข้อสรุประบุว่าต้องดำเนินการ“ตามกฎเกณ์ที่อยู่บนพื้นฐาน ของความเป็นจริง ไม่บ่อนทำลายกลไกของตลาดเดียวหรือขัดขวางการเคลื่อนไหวเสรีอย่างไม่เป็นสัดส่วน” [France24] [Deutsche Welle] ข้อสรุปของการประชุมฯ รวมถึงการขู่รัสเซียเกี่ยวกับ “ภัยและผลกระทบมหาศาลและรุนแรง” หากรัสเซีย ดำเนินการทางทหารต่อยูเครน [Reuters] ข้อสรุปยังประณามเบลารุสโดยตรง เกี่ยวกับการใช้ผู้อพยพเป็น”เครื่องมือ” และเรียกร้องให้มีการไกล่เกลี่ย ในสงครามกลางเมืองในเอธิโอเปีย (wb/qc/pk, transl. by tj) คณะกรรมาธิการยุโรปเปิดตัว “Global Gateway” แผนโครงสร้างพื้นฐานระดับโลกมูลค่า 3 แสนล้านยูโร คณะกรรมาธิการยุโรปได้เปิดตัวแผนการที่จะลงทุนหลายพันล้านยูโรในกองทุนส่วนบุคคลและกองทุน สาธารณะในโครงการโครงสร้างพื้นฐานทั่วยุโรป แอฟริกา อเมริกาใต้ และเอเชีย ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวที่ ถูกมองว่าเป็นการถ่วงดุลเครือข่ายโครงสร้างพื้นฐานข้ามทวีปของจีนภายใต้ โครงการ Belt and Road Initiative [AP] [Monde] [European Commission] “Global Gateway” ตั้งเป้าที่จะลงทุน 3 แสนล้านยูโรภายในปี ค.ศ. 2027 เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับ ห่วงโซ่อุปทาน และปรับปรุงการค้าทั้งในและนอกยุโรปผ่านโครงการต่างๆ เช่น เครือข่ายใยแก้วนำแสง ความเร็วสูง 35,000 กม. สนามบินและทางรถไฟใหม่ อินเทอร์เน็ตแบบเปิด และระบบ 5G ที่มั่นคง เออร์ซูลา ฟอน เดอร์ ลีเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปกล่าวว่า "กลยุทธ์ Global Gateway เป็นแม่แบบสำหรับวิธีที่ยุโรปสามารถสร้างการเชื่อมต่อที่ยืดหยุ่นและแข็งแกร่งมากขึ้นกับโลก" ผู้สังเกตการณ์บางคนมองว่า “Global Gateway” ซึ่งเปิดตัวเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม เป็นการตอบโต้ของยุโรปต่อโครงการ Belt and Road Initiative ของจีน ที่เปิดตัวโดยประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เมื่อปี ค.ศ. 2013 และได้ลงทุนไปแล้วกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเครือข่ายท่าเรือ ท่อส่งน้ำมัน ทางรถไฟ และถนนในกว่า 150 ประเทศทั่วโลก [Economic Times] [RFE/RL] อิตาลี โปรตุเกส และกรีซ เป็นสามใน 14 ประเทศยุโรป ที่เข้าร่วมในโครงการ Belt and Road Initiative ของจีนด้วย แม้กระนั้น เจ้าหน้าที่ของสหภาพยุโรปยังคงแสดงความกังวลเกี่ยวกับ การขาดความโปร่งใสในส่วนของจีน ในการเจรจา และความเป็นไปได้ของกับดักหนี้ [Economic Times] [RFE/RL] เออร์ซูลา ฟอน เดอร์ ลีเยน กล่าวว่า “Global Gateway” จะเป็น "ทางเลือกที่แท้จริง" แทนโครงการของจีน [Reuters] คณะกรรมาธิการยุโรปกล่าวในเว็บไซต์ว่า “Global Gateway” จะแสดงให้เห็นว่าค่านิยมประชาธิปไตย ให้ความแน่นอนและความโปร่งใสแก่นักลงทุน ความยั่งยืนสำหรับหุ้นส่วน และผลประโยชน์ ระยะยาว สำหรับประชากรทั่วโลก” จาง หมิง เอกอัครราชทูตจีนประจำสหภาพยุโรป กล่าวว่า “Global Gateway” จะได้รับการยอมรับ หากเป็นโครงการที่ "เปิดกว้างจริง" แต่เตือนว่า "ความพยายามใดๆ ในการเปลี่ยนโครงการโครงสร้าง พื้นฐานให้เป็นเครื่องมือทางภูมิรัฐศาสตร์จะไม่ตอบสนองความคาดหวังของประชาคมระหว่างประเทศ และจะกระทบผลประโยชน์ของตัวเอง” [BBC News] [Week] (ht/pk, transl. by tj) กระแสความกดดันพุ่งใส่โปแลนด์ ฮังการี เมื่อผู้ให้คำแนะนำแก่ศาลยุติธรรมแห่งสหภาพยุโรปกล่าวว่า เงินสำหรับประชาธิปไตย เป็นเครื่องมือที่ถูกกฎหมาย เครื่องมือที่อนุญาตให้สหภาพยุโรประงับกองทุนสำหรับประเทศสมาชิกที่ดำเนินการขัดต่อหลักการประชาธิปไตยนั้นถูกกฎหมาย ผู้ให้คำแนะนำแก่ศาลยุติธรรมแห่งสหภาพยุโรปกล่าว [Politico Europe] ความเห็นทางกฎหมายออกมาจากอัยการของศาลยุติธรรมแห่งสหภาพยุโรป ทั้งนี้ ความเห็นทางกฎหมายออกมาเนื่องจากโปแลนด์และฮังการีคัดค้านกลไกสำหรับปีที่ผ่านมาแต่ยังไม่ได้นำมาใช้ ซึ่งอนุญาตให้บรัสเซล ทำการเชื่อมเงินกองทุน เพื่อการรักษามาตรฐานแห่งนิติรัฐในประเทศสมาชิกแห่งสหภาพยุโรป รัฐบาลฝ่ายขวาในกรุงวอซอ และ บูดาเปสต์คัดค้านและต่อสู้กับบรัสเซลเรื่องข้อกล่าวหาว่ารัฐบาลไม่ดำเนินการตามหลักการประชาธิปไตย หลักความเป็นอิสระของศาลและความเป็นอิสระของสื่อมวลชน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมของโปแลนด์ Zbigniew Ziobro เพิ่มการเดิมพันเมื่อรัฐมนตรีฯ เตือนว่าประเทศจะระงับเงินสนับสนุนให้แก่งบประมาณของสหภาพยุโรป และออกเสียงคัดค้านการออกเสียงที่ต้องให้ฉันทามติ หากบรัสเซลตัดเงินกองทุนสำหรับโปแลนด์ [Financial Times] Ziobro อ้างในการสัมภาษณ์ซึ่งออกมาเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม ว่าเป้าหมายของคณะกรรมาธิการยุโรปไม่ใช่เพื่อปกป้องหลักการนิติรัฐ แต่เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในรัฐบาลโปแลนด์ Ziobro ตอบโต้ว่าหน่วยงานของสหภาพยุโรปกำลังก้าวข้ามสู่อำนาจรัฐ และประกาศว่า จะร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญของโปแลนด์ ตัดสินว่าเงินสดจากสหภาพยุโรปที่เชื่อมกับกลไกของนิติรัฐนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญของประเทศ ในความเห็นที่ออกมาเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม อัยการประจำศาลยุติธรรมแห่งสหภาพยุโรป Manuel Campos Sánchez-Bordona กล่าวว่า เครื่องมือ ที่มี“เงื่อนไข” ไม่ได้ทำให้สหภาพยุโรปก้าวข้ามความสามารถของสหภาพยุโรปตามที่กำหนดใน [Reuters] ความเห็นดังกล่าวไม่มีผลตามกฎหมาย แต่มีความเป็นไปได้สูง ที่จะปรากฏในคำตัดสินสูงสุด ของศาลยุติธรรมแห่งสหภาพยุโรปที่คาดว่าน่าจะมีคำตัดสินช่วงต้นปี 2022 [Reuters] เมื่อเดือนตุลาคม รัฐสภาแห่งสหภาพยุโรปเริ่มกระบวนการทางศาลต่อคณะกรรมาธิการยุโรปกรณีที่ฝ่ายบริหารของสหภาพยุโรปไม่ยอมใช้กลไกในการหักเงินสำหรับประเทศ ที่ประชาธิปไตยล้มเหลว อย่างไรก็ตาม คณะกรรมาธิการแห่งสหภาพยุโรปได้ทำการระงับเงินจำนวนกว่าพันล้านยูโรสำหรับแผนการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤติการณ์โควิดของวอร์ซอ อันเนื่องมาจากความกังวลต่อมาตรฐานนิติรัฐ [EiR Monthly November 2021] โปแลนด์ซึ่งเข้าเป็นสมาชิกแห่งสหภาพยุโรปเมื่อปี 2004 เป็นประเทศที่ได้รับประโยชน์จากกองทุนของสหภาพยุโรปที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยให ้ประเทศสมาชิกที่มีความยากจนกว่าสามารถเลื่อนสถานะมาเป็นประเทศที่มีความร่ำรวยมากขึ้น และได้รับประโยชน์มาเป็นระยะเวลานาน อย่างไรก็ตาม เมื่อประเทศเริ่มเป็นประเทศที่มีความมั่งคั่ง โปแลนด์กำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการที่จะเป็นประเทศที่ส่งเงินเข้าไปยังกองทุนของสหภาพยุโรป [Reuters] ในขณะเดียวกัน ฝ่ายบริหารของคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป ได้กล่าวเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม ว่า กำลังดำเนินการทางกฎหมายต่อโปแลนด์ เรื่องคำวินิจฉัยในเดือนกรกฎาคม และตุลาคมของศาลรัฐธรรมนูญในวอซอ ที่ทำให้เกิดกระแสความตื่นตระหนกในยุโรปในความท้าทายของกฎหมายสูงสุดของสหภาพยุโรปต่อกฎหมายภายในประเทศ [Politico Europe] คณะกรรมาธิการยุโรป กล่าวว่า “มีความสงสัยเป็นอย่างสูง” ต่อความเป็นอิสระและความเป็นกลางของศาลรัฐธรรมนูญของโปแลนด์ ที่ได้รับการวิจารณ์ว่า เป็นศาลหุ่นเชิดในมือของกลุ่มรักชาติที่เป็นกลุ่มปกครองประเทศ อีกหนึ่งความขัดแย้งในโปแลนด์คือ ในเดือนตุลาคม ศาลยุติธรรมแห่งสหภาพยุโรปออกคำสั่งให้โปแลนด์จ่ายค่าปรับจำนวน 1 ล้านยูโรต่อวัน กรณีปฏิเสธที่จะระงับการดำเนินการทางวินัยภายในศาลฎีกาในวอร์ซอ แม้ว่าศาลในลักเซมเบริ์กได้กล่าวแล้วว่ากระบวนการดังกล่าวของโปแลนด์ขัดต่อความเป็นอิสระของระบบตุลาการ ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของสหภาพยุโรป (pk, transl. by nl) ฝ่ายขวาจากทั่วยุโรปยืนยันว่าจะปฏิเสธความเป็น “รัฐเหนือรัฐ” ของสหภาพยุโรป ผู้นำฝ่ายขวาและฝ่ายอนุรักษ์นิยมจากทั่วยุโรปประชุมในวอร์ซอ เพื่อหารือเรื่องการจัดตั้งกลุ่มทางการเมืองใหม่ เนื่องจากความเป็น “สหพันธรัฐ ของสหภาพยุโรป” นั้นเพิ่มขึ้น แต่ไม่สามารถตกลงที่จะหากลุ่มใหม่ในรัฐสภาแห่งสหภาพยุโรปได้ แกนนำของฝ่ายขวาจำนวน 14 พรรค ยืนยันที่จะรวมตัวกันในวันที่ 4 ธันวาคมในเมืองหลวงของโปแลนด์ เพื่อคัดค้านการเป็น “รัฐเหนือรัฐ” ของสหภาพยุโรป [Euronews] [VOA] กลุ่มดังกล่าวเห็นพ้องว่าจะเพิ่มความร่วมมือและลงคะแนนเสียงในรัฐสภาแห่งสหภาพยุโรปในทิศทางเดียวกันในเรื่องที่เกี่ยวกับความเป็นอธิปไ ตยและการย้ายถิ่น [Euronews] [VOA] [France24] ผู้นำฝ่ายขวากล่าวหาว่าสหภาพยุโรปทำลายความเป็นอธิปไตยของรัฐ โดยสหภาพยุโรปเองก็ดำเนินการกล่าวหาโปแลนด์และฮังการีเรื่องการกัดกร่อนความเป็นประชาธิปไตยและระงับกองทุนฟื้นฟูหลังสถานการณ์โควิดของ ทั้งสองประเทศ [Euronews] [Reuters] Jaroslaw Kaczyński - หัวหน้าพรรค Poland’s ruling Law and Justice (PiS) – จัดการประชุมในวอร์ซอ ซึ่งมีนักการเมืองชาตินิยมที่มีชื่อเสียงของสหภาพยุโรปเข้าร่วมรวมถึงนายกรัฐมนตรีฮังการี Viktor Orbán นักการเมืองฝ่ายขวาจัดของฝรั่งเศส Marine Le Pen และ Santiago Abascal ของพรรคขวาจัดของสเปน [Euronews] [VOA] ตัวแทนได้ออกแถลงการณ์ร่วม โดยประกาศว่า “เฉพาะหน่วยงานที่มีอธิปไตยของรัฐเท่านั้นที่มีความชอบธรรมในระบอบประชาธิปไตย” และ คัดค้านการเป็น “ยุโรปที่ปกครองโดยชนชั้นสูงที่แต่งตั้งตัวเอง” [Euronews] การประชุมหารือทำให้เกิดการลงนามแถลงการณ์โดยพรรคการเมืองต่าง ๆ เมื่อเดือนกรกฎาคม โดยกำหนดหลักพื้นฐานสำหรับ “ความร่วมมือครั้งใหญ่” ในรัฐสภาแห่งสหภาพยุโรป เมื่อเดือนธันวาคม ในวอร์ซอ พรรคการเมืองเห็นพ้องที่จะจัดการประชุมอย่างสม่ำเสมอ การประชุมครั้งต่อไปจะจัดขึ้นที่สเปนในอีกสองเดือนข้างหน้า [Euronews] ผู้สังเกตการณ์กล่าวว่า มีความยากในการหาจุดร่วมของผู้นำของพรรคการเมืองที่อยู่ในหลายพรรคการเมืองในรัฐสภา แห่งสหภาพยุโรป ทั้งนี้ เนื่องจากผู้ที่ไม่ได้เข้าร่วมประชุมที่วอร์ซอ คือ Matteo Salvini ผู้นำพรรค Northern League ฝ่ายขวาของอิตาลี แม้ว่าจะเป็นในหนึ่งในผู้ลงนามแถลงการณ์เดือนกรกฎาคม Salvini กล่าวว่า “ต้องเป็นเวลาที่เหมาะสม” สำหรับการสร้างความร่วมมือใหม่ ในการประชุมที่ผ่านมา พรรคการเมืองที่เข้าร่วมประชุม มีความเห็นที่ต่างกัน เช่น ในปี 2017Kaczyński กล่าวหา พรรคของเลอแปงว่ามีความสัมพันธ์กับเครมลิน เลอแปงยอมรับเมื่อวันที่ 3 ธันวาคมว่า “ความเคลื่อนไหวทางการเมืองต้องใช้เวลา” [Euronews] [France24] [Euractiv] (ek/pk, transl. by nl) กฎระเบียบของสหภาพยุโรปเรื่องเทคโนโลยี ใกล้จะสมบูรณ์แล้ว ด้วยความเห็นพ้องกันของรัฐสภาแห่งสหภาพยุโรป รัฐสภาแห่งสหภาพยุโรปได้ดำเนินการเรื่องกฎระเบียบเกี่ยวกับดิจิตอล และใกล้ที่จะเสร็จสมบูรณ์แล้วเพื่อลงคะแนนเสียงในการรับ Digital Markets Act (DMA) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อออกกฎระเบียบเรื่องเทคโนโลยี ของบริษัทข้ามชาติ DMA จะเข้าสู่ “กระบวนการพิจารณาวาระที่สาม” โดยเป็นกระบวนการหารือระหว่างสภายุโรปและรัฐสภาแห่งสหภาพยุโรปร่วมกัน บนพื้นฐานของการเจรจา [Euractiv] เมื่อได้ข้อตกลง และหน่วยงานทั้งสองอนุมัติ จะกลายเป็นกฎหมาย รัฐสภาแห่งสหภาพยุโรปได้มีการโต้กันเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม เรื่องกฎหมายดังกล่าว และมีการแก้ไขร่างฯ หลังจากถูกล็อบบี้ จากอุตสาหกรรมและกฎหมายขยายความครอบคลุมไปยังการกำกับการตั้งค่าพื้นฐาน (default settings) – โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มการแข่งขันทางการค้า โดยทำให้ง่ายขึ้นสำหรับผู้ใช้ในการเลือกซอฟแวร์พื้นฐาน [Brussels Times][TechCrunch] หนึ่งในการแก้ไขเรียกว่า “การทำงานร่วมกัน” ระหว่าง แพลตฟอร์มในการส่งข้อความและโซเชียลมีเดีย ผู้ที่สนับสนุนการแก้ไขดังกล่าว กล่าวว่าการกำหนดให้แพลตฟอร์มสามารถใช้ได้ทั่วกัน จะทำให้การพึ่งพาบริษัทโซเชียลมีเดียขนาดใหญ่นั้นลดลง [Euractiv] ลักษณะพิเศษของกฎหมาย คือเพื่อจำกัด “การควบรวมขนาดใหญ่” ในกรณีที่บริษัทเทคโนโลยีข้ามชาติซื้อบริษัทเล็ก ๆ และควบรวมผลิตภัณฑ์ [Politico Europe] DMA ยังร่วมกับ Digital Services Act ที่มีวัตถุประสงค์ให้บริษัทโซเชียลมีเดียสามารถดำเนินการหากมีเนื้อหาที่ไม่ถูกต้องบนแฟลตฟอร์มของตน รัฐสหาแห่งยุโรปจะออกเสียงและเจรจาเรื่องดังกล่าวในเดือนมกราคม [EU Reporter] [Politico Europe] ผู้สังเกตการณ์กล่าวว่า กฎหมายเป็นตัวแทน “ของการทำให้กฎกระเบียบเรื่องดิจิตอลมีความทันสมัยขึ้นในรอบสองทศวรรษ” [TechCrunch] (wb/qc/pk, transl. by nl) สหภาพยุโรปเจรจาหารือเรื่องความร่วมมือกับ สหรัฐอเมริกาเรื่องการขายอาวุธ และงบประมาณทางการทหาร สหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกาได้ประกาศว่าจะหารือเรื่องความร่วมมือทางความปลอดภัยและทางการทหารรวมถึงความร่วมมืออื่นที่เกี่ยวกับการแข่ง ขันทางเทคโนโลยี เนื่องจากสหภาพยุโรปมีความสนใจที่จะทำความร่วมมือระดับนานาชาติเรื่องงบประมาณทางการทหารระหว่างประเทศสมาชิก สหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกาเปิดเผยการหารือเรื่องการทหารและความปลอดภัยเมื่อวันที่3 ธันวาคม โดยแถลงว่าการประชุมครั้งแรกจะเกิดขึ้นช่วง ต้นปี 2022 การประชุมจะประกอบด้วยตัวแทนจากกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ European External Action Service และหน่วยงานความมั่นคงของสหภาพยุโรป เพื่อจะปรับปรุงความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีและหารือเรื่องความร่วมมือในเรื่องต่าง ๆ ทั้งเรื่อง ไซเบอร์และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในวันที่ 7 ธันวาคม สหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกาออกแถลงการณ์ร่วม เรื่องการหารือทางนโยบายเรื่องการแข่งขันทางเทคโนโลยี เอกสารระบุว่าทั้งสองฝ่าย “ยืนยันถึงความสนใจร่วมกันในการให้ความร่วมมือเรื่องนโยบายการแข่งขันทางการค้า และการบังคับใช้นโยบายดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี” แถลงการณ์เดือนธันวาคม ระบุว่า มีความตระหนักจากทั้งสองฝ่ายของแอตแลนติกถึงความท้าทายที่ใกล้เคียงกัน อย่างไรก็ดี สหภาพยุโรปได้ตั้งหลักการว่าสหภาพยุโรปเป็นฝ่ายพลเรือนมากกว่า ฝ่ายทหาร หรือ ผู้เล่นเรื่อง“ความปลอดภัยทางเทคโนโลยี” โดยปล่อยให้นาโตและประเทศสมาชิกจัดการเรื่องทางทหาร [Carnegie Europe] สอดคล้องกับ หน่วยงานทางการทหารของสหภาพยุโรป ประเทศสมาชิกใช้งบประมาณ สองร้อยล้านยูโรในการทหาร อย่างไรก็ตาม จำนวนเงินงบประมาณที่ใช้ร่วมกันระหว่างรัฐบาลนั้นมีจำนวนลดลงในปีที่ผ่านมา [Reuters] ยุโรปไม่ใช่ผู้เล่นสำคัญแต่เพียงผู้เดียวในเรื่องการใช้เงินทางทหารแต่เป็นผู้ส่งออกอาวุธด้วย หนึ่งในห้าของการขายอาวุธทั่วโลกในปี 2020 มาจากบริษัทของยุโรป ซึ่งบริษัทอังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมันเป็นหนึ่งใน 100 บริษัทที่มีรายได้จากขายสูงสุด [Euractiv] ในเยอรมัน พรรคร่วมรัฐบาลใหม่ระบุว่าเห็นชอบในการกำหนดนโยบายการส่งออกอาวุธระดับยุโรป เพื่อกำหนดความร่วมมือให้ดีขึ้นระหว่างประเทศสมาชิก แม้ว่าประเทศสมาชิก เช่น ฝรั่งเศสประสงค์ที่จะรักษาการขายอาวุธภายใต้ความชอบธรรมของรัฐ [Defense News] (qc, transl. by nl) เยอรมนี: รัฐบาลใหม่เดินทางเยือนรัฐต่างๆอย่างเป็นทางการทั่วยุโรปหลังการออกจากตำแหน่งของ แองเจลา มาร์เคิล Chancellor Olaf Scholz และรัฐมนตรีสิบหกคนได้เข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม แทนอดีตนายกรัฐมนตรี แองเจลา มาร์เคิล หลังจากอยู่ในตำแหน่งมากว่าสิบหกปี [Tagesschau] [Deutsche Welle] รัฐบาลร่วมประกอบด้วย Scholz's Social Democrat SPD, Greens และ liberal FDP พรรคการเมืองทั้งสามได้เจรจาเรื่องข้อตกลงการร่วมรัฐบาลตั้งแต่กลางเดือนตุลาคม ข้อตกลงได้รับการอนุมัติจากสมาชิกของแต่ละพรรคการเมืองเมื่อวันที่ 6 และ 7 ธันวาคม ด้วยคะแนนเสียงข้างมาก [Euractiv] [Deutsche Welle] ข้อตกลงของรัฐบาลร่วมรวมถึงข้อผูกพันสำหรับยุโรปที่เข็มแข็งขึ้น การดำเนินการกับความสัมพันธ์ภายนอกยุโรปที่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และการป้องกันปัญหาเรืองการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ ยังมีนโยบายทางสังคมที่ “ก้าวหน้า” เช่น กฎหมายเรื่องกัญชา ค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำที่สูงขึ้น และการสนับสนุนครอบครัวแบบที่ไม่เป็นไปตามแบบแผน (non-traditional families) [Politico Europe] [Tagesschau] ผู้นำ FDP Christian Lindner ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในขณะที่ผู้นำร่วมของพรรคกรีน Annalena Baerbock ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ และ Robert Habeck ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีด้านคุ้มครองสภาพภูมิอากาศ [Politico Europe] Scholz เดินทางเยือนปารีส บรัสเซล และวอร์ซอ โดยยืนยันว่ามีความจำเป็นที่ยุโรปจะต้อง “ยืนเคียงข้างกัน” และ มีอำนวจอธิปไตยใน “เศรษฐกิจ ความปลอดภัยและการต่างประเทศ” [Deutsche Welle] การเดินทางของ Scholz ไปวอร์ซอ ถูกทำให้ด้อยค่าลงจากความเห็นที่ไม่ตรงกันเรื่องการอนุมัติของเยอรมันต่อ Nord Stream 2 pipeline ซึ่งโปแลนด์ ไม่เห็นด้วยเนื่องจากอำนาจที่จะให้รัสเซียในการกดดันยุโรป [Deutsche Welle] Scholz และนายกรัฐมนตรีของโปแลนด์Mateusz Morawiecki ยังคงไม่เห็นพ้องต้องกันในเรื่องของค่าชดเชยใหม่ที่เยอรมันต้องจ่ายโปแลนด์ และเป้าหมายของการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศของอียูใน Green Deal [Politico Europe] Scholz เดินทางพร้อม Baerbock ซึ่งเดินทางไปสวีเดนเพื่อยืนยันข้อผูกมัดของเยอรมันต่อนาโต้ และการปลดอาวุธนิวเคลียร์ [Euractiv] นอกจากนี้ Baerbock ยังประกาศว่าจะมีจุดยืนที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่องของจีนกับรัสเซียเรื่องการดำเนินการในยูเครน [Politico Europe] [ZDF] Lindner พบกับ Bruno Le Maire ในปารีส ในการเดินทางพบปะครั้งแรก ยืนยันว่า “ความสัมพันธ์ ฟรานโก เยอรมัน จะยังคงมีความจำเป็นสำหรับการพัฒนาเพิ่มเติมของสหภาพยุโรป และนโยบายทางการเงินของสหภาพยุโรป” [Tagesschau] ทั้งสองฝ่ายแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจ ในการประนีประนอมเรื่องคำถามเกี่ยวกับสหภาพยุโรป และการลงทุน [Tagesschau] ในขณะที่ Le Maire เรียกร้องให้มีความยืดหยุ่น เรื่องงบประมาณหลังโควิด เขาบอกว่า กฎใหม่ “ไม่รีบร้อน” ระหว่างการเข้าพบของ Lindner ผู้ซึ่งถูกขนานนามว่า “เหยี่ยวแห่งการคลัง” [Politico Europe] [Euractiv] ขณะที่บางส่วนของพรรคกรีนและ FDP ในรัฐสภาเยอรมันได้เลือกหัวหน้าใหม่ สำหรับพรรคกรีน Britta Haßelmann และฝ่ายซ้าย Katharina Dröge จะร่วมกันนำพรรค แม้จะมีความตึงเครียดระหว่างสองฝ่ายก็ตาม FDP Christian Dürr และ Johannes Vogel มาแทนLindner และเลขารัฐสภาฯ Marco Buschmann ตามลำดับ [Euractiv] หลังความพ่ายแพ้การเลือกตั้งในเดือนกันยายน พรรคอนุรักษ์นิยม Christian Democratic Union (CDU) เลือกผู้นำใหม่เช่นกัน Friedrich Merz ซึ่งได้รับฉายาว่าเป็น “ที่รักของฝ่ายอนุรักษ์นิยม” ด้วยคะแนนเสียงกว่าร้อยละ 62.1ของจำนวนสมาชิกกว่า 400.000 คน [Deutschlandfunk] (mm/qc, transl. by nl) พระสันตะปาปาประณามความรุนแรงต่อผู้หญิงจากสถิติที่พบว่า ความรุนแรงต่อผู้หญิงเพิ่มขึ้นระหว่างสถานการณ์โควิด พระสันตะปาปาฟรานซิสประณามความรุนแรงต่อผู้หญิงว่า “ชั่วร้ายราวกับเป็นซาตาน” เนื่องจากอัตราการกระทำความรุนแรงในครอบครัวที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกระหว่างการปิดเมืองหรือลอกดาวน์ ซึ่งทำให้ผู้หญิงได้ตกอยู่ในกับดักของผู้ที่กระทำความรุนแรงในช่วงลอกดาวน์นี้ จากงานวิจัยของ United Nations ในสิบสามประเทศพบว่า ครึ่งหนึ่งของผู้หญิงที่ถูกถามเรื่องประสบการณ์การถูกทำร้ายกล่าวว่าพวกเขาถูกกระทำความรุนแรงตั้งแต่เกิดสถานการณ์โควิด พระสันตะปาปาฟรานซิสแสดงความกังวลต่อสถานการณ์ความรุนแรงดังกล่าวผ่านทางรายการ TG5 network ของอิตาลีเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ว่า “มีผู้หญิงจำนวนมาก ที่ถูกทุบตีและทำร้ายในบ้านของตัวเอง” [BBC News] สอดคล้องกับสถิติจากตำรวจที่เปิดเผยออกมาเมื่อปลายปี 2563 ซึ่งพบรายงานเหตุการณ์กระทำความรุนแรงต่อผู้หญิงในอิตาลีกว่า 90 คดีในแต่ละวัน และหกในสิบของคดีดังกล่าวเป็นคดีการกระทำความรุนแรงในครอบครัว [Guardian] (pk, transl. by nl) กฎหมายรัฐธรรมนูญและการเมืองในยุโรปตะวันตกและยุโรปเหนือ ![]() เดนมาร์ก : อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการตรวจคนเข้าเมืองถูกตัดสินจำคุก เนื่องด้วยการออกคำสั่งที่ผิดกฎหมายเกี่ยวกับผู้ขอลี้ภัย อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการตรวจคนเข้าเมืองแห่งเดนมาร์กถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา60 วัน หลังจากการพิจารณาคดีที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก โดยศาลได้พิจารณาคดีว่าด้วยการประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารระดับสูงของรัฐบาล (impeachment court) พบว่าเธอได้กระทำความผิดในการแยกคู่สมรสที่เป็นผู้ขอลี้ภัยออกจากกัน ซึ่งหนึ่งในนั้นยังคงเป็นผู้เยาว์อยู่ ทั้งนี้ นาง Inger Støjberg มีชื่อเสียงว่าเป็นผู้ยึดมั่นในแนวคิดอนุรักษ์นิยมและไม่ประนีประนอมใด ๆ กับแนวคิดแบบอื่น ในระหว่างที่เธอดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการตรวจคนเข้าเมือง ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2015 – 2019 ภายใต้รัฐบาลฝ่ายขวา-กลาง ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยพรรคฝ่ายขวาจัด ที่มีชื่อว่า พรรคของประชาชนชาวเดนมาร์ก หรือ Danish People’s Party [BBC News] [Deutsche Welle] เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ผู้พิพากษาได้ตัดสินว่า คำสั่งของเธอที่แยกคู่สมรสวัยเยาว์ออกจากกันนั้น เป็นการละเมิดทั้งกฎหมายเดนมาร์กเอง และอนุสัญญายุโรปว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (European Convention on Human Rights) โดยที่ศาลพิจารณาคดีว่าด้วยการประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารระดับสูงของรัฐบาล ซึ่งประกอบด้วยผู้พิพากษาจากศาลฎีกาและสมาชิกที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐสภา ได้ทำการตัดสินคดีนี้ อย่างไรก็ดี การพิจารณาคดีเช่นนี้ จะเกิดขึ้นกับคดีใดก็ตามที่รัฐมนตรีต่าง ๆ ถูกกล่าวหาว่าใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ [Euronews/AP/AFP] ทั้งนี้ หนังสือพิมพ์รายวันของเดนมาร์ก Jyllands-Posten ได้วิจารณ์ว่า นาง Støjberg พยายามที่จะทำให้การพิจารณาคดีออกไปในแนวทางที่ว่า นี่คือปัญหาของการบังคับเด็กหญิงเข้าสู่การแต่งงานก่อนวัยอันควร (child brides) บทความแสดงความเห็นเพิ่มเติมว่า “ตอนนี้ เราได้เขียนไว้อย่างเป็นลายลักษณ์อักษรแล้วว่ามันไม่เกี่ยวกับปัญหาการบังคับเด็กหญิงเข้าสู่การแต่งงานก่อนวัยอันควร แต่เป็นวิธีที่เธอ ในฐานะรัฐมนตรี ได้กระทำการละเมิดกฎหมาย” [Eurotopics] (pk, transl. by aa) ฝรั่งเศส : นายมาครงวางแผนใช้การดำรงตำแหน่งประธานสหภาพยุโรปของฝรั่งเศส เพื่อประกันการเลือกตั้งครั้งถัดไปในปี ค.ศ. 2022 ขณะที่ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งทั้งฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา กำลังแข่งขันกันเพื่อให้มั่นใจว่าจะต้องมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งสนับสนุนพวกเขาอย่างเพียงพอในการเลือกตั้งประธานาธิบดี ปี ค.ศ. 2022 รอบที่สอง อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีฝรั่งเศส นายเอ็มมานูเอล มาครง ซึ่งถูกคาดหมายว่าจะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีอีกสมัย กลับมีแนวโน้มที่จะต้องมุ่งความสนใจไปที่วาระการดำรงตำแหน่งประธานคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป (Council of the European Union) ของฝรั่งเศส ในช่วงครึ่งแรกของปี ค.ศ. 2022 อย่างไรก็ดี ในวันสุดท้ายของเดือนพฤศจิกายน ได้มีการประกาศที่สร้างความประหลาดใจเกิดขึ้น นั่นก็คือนาย Éric Zemmour ได้ออกมายืนยันอย่างเป็นทางการว่า เขาจะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในการเลือกตั้งปี ค.ศ. 2022 หลังจากหลายสัปดาห์ที่ผู้คนต่างจับตามองว่าเขาจะลงหรือไม่ลงรับสมัครเลือกตั้งครั้งนี้ ทั้งนี้ ในคำแถลงของนาย Zemmour ซึ่งเขาถือเป็นผู้สมัครที่มีแนวคิดขวาจัด รวมทั้งต่อต้านศาสนาอิสลามและการอพยพมาอย่างต่อเนื่อง ได้กล่าวว่าเขาลงรับสมัครเลือกตั้งฯ เพราะว่าลูกสาวของพวกเราจะได้ไม่ต้องใส่ผ้าคลุมศีรษะ และลูกชายของพวกเราจะได้ไม่เป็นคนที่ยอมจำนน [France24] นอกจากนี้ นาง Valerie Pécresse ก็ยืนยันด้วยเช่นกันว่าเธอจะลงสมัครรับเลือกตั้งฯ ภายใต้สังกัดพรรคฝ่ายขวา-กลาง Les Républicains ทั้งนี้ ชัยชนะของเธอในระบบการคัดเลือกผู้สมัครขั้นต้น หรือ ไพรมารีโหวต ได้ทำให้พรรคฝ่ายขวา-กลาง ฝ่ายค้าน เลือกผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีเป็นผู้หญิงครั้งแรก ระบบการคัดเลือกดังกล่าว มี 2 รอบ โดยนาย Michel Barnier อดีตประธานคณะกรรมาธิการยุโรป แพ้ในรอบแรก และนาง Pécresse แข่งกับนาย Éric Ciotti ในรอบที่สอง ซึ่งนาง Pécresse ได้รับการเสนอเข้าชิงในนามของพรรคฯ ต่อไป สำหรับนาง Pécresse นั้น ขณะนี้ดำรงตำแหน่งประธานสภาแคว้นอีล-เดอ-ฟร็องส์ (Île-de-France) ซึ่งเป็นแคว้นที่ประกอบด้วยเมืองหลวงของฝรั่งเศส ขณะที่ในปัจจุบัน การสำรวจต่าง ๆ ชี้ให้เห็นว่านายเอ็มมานูเอล มาครง ยังมีคะแนนนำอยู่สำหรับการเลือกตั้งปี ค.ศ. 2022 ที่จะเกิดขึ้นในเดือนเมษายน แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้ประกาศลงสมัครรับเลือกตั้งฯ ก็ตาม เนื่องจากเขายังยุ่งอยู่กับภารกิจบนเวทีระดับโลก ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปูทางสำหรับวาระการดำรงตำแหน่งประธานคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรปของฝรั่งเศส ในช่วงครึ่งปีแรกของปี ค.ศ. 2022 นายมาครงวางยุโรปเป็นหัวใจสำคัญของการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง โดยเขาเปิดเผยว่า “การสนับสนุนความเป็นยุโรป” (pro-European) จะต้องมาก่อนเป็นอันดับแรกในวาระการดำรงตำแหน่งประธานคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรปของฝรั่งเศส ซึ่งการสนับสนุนความเป็นยุโรปนั้น ประกอบด้วย การวางแผนที่จะปฏิรูปเขตปลอดหนังสือเดินทางของสหภาพยุโรป หรือ เขตเชงเก้น (Schengen) การออกกติกาใหม่ว่าด้วยการอพยพ การเสริมสร้างความเข้มแข็งแก่การป้องกันยุโรป (European defence) และการเน้นการสร้างงาน และการต่อสู้กับการว่างงานให้มากขึ้น ทั้งหมดนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของ “รูปแบบความเป็นยุโรปใหม่” (new European model) [Monde] [Politico Europe] [Monde] [Euractiv] การประชุมสุดยอดคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรปจะจัดขึ้นในเดือนมีนาคม ซึ่งก็คือหนึ่งเดือนก่อนหน้าที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสจะเกิดขึ้น ประเด็นผู้อพยพ/การอพยพมีแนวโน้มว่าจะกลายเป็นหัวข้อการอภิปรายหลักในหลายสัปดาห์ก่อนหน้าการเลือกตั้ง โดยที่นายมาครง นาง Pécresse นาย Zemmour และนาง Marine Le Pen มีข้อเสนอในการแก้ปัญหานี้แตกต่างกัน [New York Times] [Politico Europe] อย่างไรก็ตาม พรรคฝ่ายซ้าย-กลางของฝรั่งเศสต่างเผชิญกับปัญหาในช่วงเดือนที่ผ่านมา โดยนาง Anne Hidalgo นายกเทศมนตรีกรุงปารีส ได้ออกมาเรียกร้องให้ฝ่ายซ้ายหนุนผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีเพียงคนเดียวในการเลือกตั้งครั้งนี้ การออกมาเรียกร้องของนาง Hidalgo นี้ ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากผู้สมัครฝ่ายซ้ายจัดอื่น ๆ อาทิ นาย Yannick Jadot ผู้สมัครจากพรรคกรีน โต้ตอบการลงสมัครรับเลือกตั้งของนาง Hidalgo ว่าเป็น “ทางตัน” (dead-end) ขณะที่นายJean-Luc Mélenchon และนาย Fabien Roussel ต่างปฏิเสธการเรียกร้องให้มีผู้สมัครเพียงคนเดียวเพื่อรวมฝ่ายซ้ายให้เป็นหนึ่งเดียวกันของนาง Hidalgo [France24] (ig/qc, transl. by aa) ไอร์แลนด์ : ผลสำรวจความคิดเห็นแสดงให้เห็นถึงการสนับสนุนการรวมไอร์แลนด์อย่างไม่เต็มใจนักของประชาชน ผลสำรวจความคิดเห็นครั้งใหม่แสดงให้เห็นว่าประชาชนชาวไอร์แลนด์ส่วนใหญ่สนับสนุนการรวมประเทศเข้ากับไอร์แลนด์เหนือ แต่กลับต่อต้านกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะทำให้การรวมชาติบรรลุผล ผลสำรวจ ยังชี้ให้เห็นต่อไปว่า ผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงจะสนับสนุนการรวมชาติก็ต่อเมื่อไม่มีต้นทุนทางเศรษฐกิจ และอัตลักษณ์แห่งชาติของไอร์แลนด์ไม่เจือจางลง[Euractiv] ผลสำรวจนี้จัดทำขึ้นในเดือนนี้ เพื่อสำรวจความคิดเห็นว่าด้วยสหไอร์แลนด์ (United Ireland) ของผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงในการรวมประเทศเข้ากับไอร์แลนด์เหนือ โดยบริษัท Ipsos MRBI ร่วมกับหนังสือพิมพ์ The Irish Times ซึ่งนี่เป็นข้อเสนอที่จะให้เทศมณฑล 6แห่งของไอร์แลนด์เหนือที่อยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ รวมเข้ากับเทศมณฑล 26 แห่งของสาธารณรัฐไอร์แลนด์ ทั้งนี้ นี่ถือเป็นเป้าหมายของพวกชาตินิยมตั้งแต่การก่อตั้งไอร์แลนด์เหนือเมื่อ 100 ปีที่แล้ว และแนวคิดนี้ได้รับการสนับสนุน (อย่างน้อยในทฤษฎี) โดยพรรคการเมืองไอร์แลนด์ทั้งหมด ตัวเลขพาดหัวแสดงการสนับสนุนอย่างท่วมท้นในการรวมไอร์แลนด์เข้าด้วยกัน โดยร้อยละ 62 กล่าวว่า พวกเขาจะลงคะแนนเสียงให้สหพันธรัฐไอร์แลนด์ หากมีประชามติ และเพียงร้อยละ 16 เท่านั้น ที่กล่าวว่าพวกเขาจะไม่ลงคะแนนเสียง หรือ โหวตโน อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจฯ เปิดเผยว่าเสียงสนับสนุนการรวมไอร์แลนด์กลับลดลงอย่างฮวบฮาบ เมื่อผู้ลงคะแนนเสียงถูกถามว่าพวกเขาจะยังสนับสนุนการรวมไอร์แลนด์อยู่อีกหรือไม่ หากพวกเขาจะต้องจ่ายเพื่อการรวมประเทศ กล่าวคือ พวกเขาจะยอมรับการจ่ายภาษีที่เพิ่มสูงขึ้นในสหพันธรัฐไอร์แลนด์หรือไม่ โดยร้อยละ 79 ตอบว่าไม่ เช่นเดียวกันกับคำถามที่ว่าพวกเขาจะยอมรับได้หรือไม่ หากรัฐบาลอุดหนุนบริการสาธารณะต่าง ๆ ลดลง โดยอีกร้อยละ 79 ก็ตอบว่าไม่ [Irish Times] ทั้งนี้ อุปสรรคใหญ่ของการรวมเป็นหนึ่งเดียวกันของไอร์แลนด์ คือการต่อต้านจากประชากรกลุ่มสหภาพนิยมโปรเตสแตนต์ (Protestant Unionist) ที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ในไอร์แลนด์เหนือ ซึ่งคนกลุ่มนี้มองว่าตนเองเป็นชาวอังกฤษ ไม่ใช่ชาวไอริช การประนีประนอมถูกเสนอขึ้นมาหลายประการ เพื่อที่จะรองรับพวกเขาในสหพันธรัฐไอร์แลนด์ อาทิ การสร้างธงชาติ หรือเพลงชาติใหม่ อย่างไรก็ดี ผลสำรวจความคิดเห็นนี้ได้เผยให้เห็นถึงการต่อต้านอย่างท่วมท้นต่อข้อเสนอต่าง ๆ ดังกล่าว โดยร้อยละ 72 ต่อต้านการเปลี่ยนเพลงชาติ ขณะที่ร้อยละ 77 ต่อต้านการเปลี่ยนธงชาติ กระทั่งมีความคิดเห็นที่แตกออกเป็นสองแนวทางในหมู่ผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียง ต่อแนวคิดการให้สมาชิกกลุ่มสหภาพนิยม (Unionists) มาดำรงตำแหน่งในรัฐบาล ซึ่งร้อยละ 44 สนับสนุนแนวคิดนี้ แต่ร้อยละ 42 กลับคัดค้าน [Independent] แม้ว่าพรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุดของไอร์แลนด์ Sinn Féin กำลังรณรงค์อย่างแข็งขันเพื่อสหพันธรัฐไอร์แลนด์ แต่ผลสำรวจ กลับชี้ให้เห็นว่าผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงไม่เห็นว่าการรวมประเทศเข้ากับไอร์แลนด์เหนือเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก โดยมีร้อยละ 15 ของผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเท่านั้นที่กล่าวว่าพวกเขาต้องการการลงประชามติว่าด้วยการรวมชาติในตอนนี้ ขณะที่ร้อยละ 42 ซึ่งเป็นคำตอบที่มากที่สุด คือการลงประชามติควรจะเกิดขึ้นในอีก 10 ปีข้างหน้า ส่วนร้อยละ 13 ไม่ต้องการให้มีการจัดทำประชามติเลย และร้อยละ 16 ต้องการให้มีการลงคะแนนเสียงในอนาคตข้างหน้า มากกว่า 10 ปีขึ้นไป นอกจากนี้ มีเพียงร้อยละ 20 เท่านั้น ที่เห็นว่าประเด็นนี้สำคัญอย่างยิ่งต่อพวกเขา และร้อยละ 24 กล่าวว่าประเด็นนี้ไม่สำคัญใด ๆ เลย ซึ่งคำตอบที่ได้รับความนิยมมากที่สุด จากร้อยละ 52 ของผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียง คือ “ประเด็นการรวมชาติมันไม่ได้สำคัญขนาดนั้น แต่ฉันก็อยากเห็นมันเกิดขึ้นจริงสักวัน” [Irish Times] (rn/qc, transl. by aa) เนเธอร์แลนด์ : พรรคต่าง ๆ บรรลุข้อตกลง ขณะที่นาย Rutte หวนคืนสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลังจากกระบวนการการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศเนเธอร์แลนด์ พรรคการเมือง 4 พรรค ก็ได้บรรลุข้อตกลงการจัดตั้งรัฐบาลผสม โดยมีนาย Mark Rutte จากพรรค VVD เป็นนายกรัฐมนตรี พรรคฝ่ายกลาง D66 พรรคประชาธิปไตยคริสเตียน CDA และพรรคสหภาพคริสเตียน หรือ Christian Union ร่วมกันจัดตั้งคณะรัฐมนตรีใหม่ และถือเป็นวาระที่สี่ของนาย Mark Rutte ในการเป็นหัวหน้ารัฐบาลผสมของเนเธอร์แลนด์ [Politico Europe] องค์ประกอบของพรรคในรัฐบาลยังคงเหมือนเดิมเมื่อเปรียบเทียบกับรัฐบาลผสมครั้งก่อน อย่างไรก็ตาม พรรค D66 ได้ส่วนแบ่งที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรเพิ่มขึ้น ส่วนพรรค CDA กลับเสียที่นั่งไปจำนวนหนึ่ง ทั้งนี้ ข้อตกลงการจัดตั้งรัฐบาลผสมได้เน้นย้ำถึงการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน (sustainability) และแหล่งพลังงานหมุนเวียน เนื่องจากได้มอบเงินทุนจำนวน 35 พันล้านยูโรเพื่อการเปลี่ยนผ่านพลังงานของประเทศ และอีก 25 พันล้านยูโรเพื่อนวัตกรรมด้านการเกษตรและการฟื้นฟูธรรมชาติ นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีนี้ยังได้วางแผนที่จะสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์เพิ่มอีก 2 แห่ง [Nu] แม้ว่าองค์ประกอบของพรรคจะยังคงเหมือนเดิม แต่พรรคการเมืองที่อยู่ในรัฐบาลผสมต่างกล่าวว่า พวกเขาไม่ได้ทำงานสานต่อจากรัฐบาลผสมเดิม เพราะว่ารัฐบาลผสมใหม่นี้ต้องการได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจทางการเมืองใหม่อีกครั้ง ซึ่งหายไปหลังจากที่รัฐบาลผสมเดิมมีเหตุให้ต้องยุติบทบาทลงเนื่องด้วยเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับสวัสดิการดูแลเด็ก นั่นคือเจ้าหน้าที่รัฐด้านการดูแลการฉ้อโกงสวัสดิการเด็ก ได้กล่าวหาพ่อแม่หลายพันคน และเรียกร้องให้พ่อแม่เหล่านี้ต้องจ่ายเงินจำนวนมหาศาลคืนกลับมาที่รัฐ ทำให้บางครอบครัวต้องประสบกับปัญหาทางการเงินอย่างรุนแรง [EiR Monthly December 2021] การตั้งกระทู้ถามของรัฐสภาสรุปได้ว่า การกระทำดังกล่าวของเจ้าหน้าที่รัฐละเมิดหลักการพื้นฐานของหลักนิติธรรม นอกจากนี้ นาย Mark Rutte ยังหลีกเลี่ยงการถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังจากที่ถูกเปิดเผยว่า เขาได้พยายามทำให้นาย Pieter Omtzigt นักการเมืองจากพรรค CDA ซึ่งมีบทบาทสำคัญยิ่งในการเปิดเผยเรื่องอื้อฉาวดังกล่าว ต้องลดบทบาทลงไปในช่วงเริ่มต้น และเพื่อที่จะได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจกลับมาอีกครั้ง คณะรัฐมนตรีนี้กล่าวว่าพวกเขาจะร่วมมือกับ “พรรคการเมืองที่สร้างสรรค์” (constructive parties) ทุกพรรค อย่างที่สองที่คณะรัฐมนตรี ได้แถลงคือ พวกเขาต้องการที่จะทำให้อำนาจฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารแยกออกจากกันเพิ่มขึ้น และสุดท้ายพวกเขาวางแผนที่จะต่อต้านการใช้ภาษาที่คุกคาม[NRC] นอกจากคณะรัฐมนตรีใหม่จะต้องรับมือกับการที่ประชาชนขาดความมั่นใจในระบบการเมืองเพิ่มขึ้นแล้ว พวกเขายังต้องจัดการกับข้อโต้แย้งเกี่ยวกับมาตรการการรับมือโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา หรือ โควิด-19 ที่แบ่งเป็นสองขั้วในสังคมที่เพิ่มสูงขึ้นด้วย นาย Thierry Baudet หัวหน้าพรรคสภาเพื่อประชาธิปไตย (Forum for Democracy) หรือ FvD พยายามเปรียบเทียบซ้ำ ๆ ระหว่างการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวโดยนาซี หรือ Holocaust และมาตรการรับมือโควิด-19 อย่างไรก็ดี เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ศาลได้ออกคำสั่งให้นาย Baudet ลบข้อความหลายข้อความในทวิตเตอร์ ซึ่งรวมการเปรียบเทียบดังกล่าวข้างต้น และห้ามนาย Baudet ใช้การอุปมาอุปไมยเหตุการณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ฯ กับมาตรการการรับมือกับโรคระบาดฯ อีกในอนาคต [NOS] (rs/qc, transl. by aa) สหราชอาณาจักร : ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีดูเปราะบางยิ่งขึ้น หลังจากหัวหน้าคณะเจรจาเบร็กซิตลาออก นาย David Frost นักการทูตมือฉมังของรัฐบาลอังกฤษในการนำเจรจาหลังเบร็กซิต(post-Brexit) กับสหภาพยุโรป ได้ลาออกเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม ซึ่งไปเพิ่มรายการความปวดหัวทางการเมืองให้แก่นายกรัฐมนตรี นายบอริส จอห์นสันยิ่งขึ้นอีก อีกทั้งความกระด้างกระเดื่องจาก ส.ส. ในพรรคอนุรักษ์นิยมของเขาเอง ท่ามกลางเรื่องอื้อฉาวและคำถามต่าง ๆ จึงได้เผยให้เห็นในผลสำรวจความคิดเห็นหลายที่เกี่ยวกับเสถียรภาพในการนำรัฐบาลของเขา ทั้งนี้ ในจดหมายลาออกของนาย Frost ได้แสดงความไม่เห็นด้วยหลายจุดต่อ “แนวทางเกี่ยวกับการเดินทางในปัจจุบัน” ของรัฐบาล และวิจารณ์ “มาตรการเชิงบังคับ” ที่จะควบคุมการระบาดของโควิด-19 ซึ่งนาย Frost ตั้งใจที่จะลาออกในเดือนมกราคม แต่แหล่งข่าวได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ Politico Europe ว่าการเสนอให้ใช้พาสปอร์ตวัคซีนล่าสุดของรัฐบาล ทำให้นาย Frost ตัดสินใจที่จะลาออกเร็วขึ้น [Politico Europe] [BBC News] เมื่อไม่นานมานี้ นายบอริส จอห์นสัน ยังเผชิญกับความกระด้างกระเดื่องของ ส.ส. จากพรรคของเขาเอง ด้วยประเด็นเดียวกัน นั่นคือ ส.ส. 99 คน เลือกที่จะลงคะแนนเสียงต่อต้านการนำมาตรการควบคุมโควิด 19 กลับมาใช้ใหม่ของนายจอห์นสัน [Deutsche Welle] [BBC News] ตามที่วารสาร Europe in Review ได้รายงานไปในครั้งก่อนว่าพรรคแรงงาน ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านกลับมานำในผลสำรวจความคิดเห็นต่าง ๆ เป็นครั้งแรก ตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นมา หลังจากข่าวอื้อฉาวเกี่ยวกับการคอร์รัปชันปะทุออกมาในเดือนตุลาคม ซึ่งนาย Owen Patterson ส.ส. จากพรรคอนุรักษ์นิยมมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย และเขาได้ลาออกจากตำแหน่งในเวลาต่อมา [EiR Monthly December 2021] นาง Liz Truss รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนปัจจุบัน จึงได้ให้นาย Frost เข้ามาทำหน้าที่แทนนาย Patterson ในบทบาทหัวหน้าคณะเจรจาเบร็กซิตของอังกฤษ ทั้งนี้ นาง Truss ถือเป็นผู้สนับสนุนเบร็กซิตมาอย่างยาวนาน และผู้สังเกตการณ์ต่างมองว่า นาง Truss ได้รับการแต่งตั้งเข้ามารับบทบาทนี้ โดยนายจอห์นสัน ก็เพื่อที่จะ “มอบความมั่นใจให้แก่ ส.ส. พรรคอนุรักษ์นิยมที่กังวลว่าสหราชอาณาจักรจะใช้แนวทางที่ผ่อนปรนกว่าเดิม(softer line) กับสหภาพยุโรป” [BBC News] [Sky News] อย่างไรก็ดี ขณะนี้ ความเป็นผู้นำของนายจอห์นสันในพรรคอนุรักษ์นิยมดูเปราะบางยิ่งขึ้น แหล่งข่าวภายในพรรคฯ ระบุว่านาง Truss พร้อมด้วยนาย Rishi Sunak รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อาจเป็นคนที่มีศักยภาพที่จะก้าวขึ้นมาแทนที่ตำแหน่งหัวหน้าพรรคฯ ของนายจอห์นสัน ซึ่งทั้งสองคนต่างก็กำลังแสวงหาพันธมิตรที่เป็นไปได้ในหมู่ ส.ส. ของพรรคฯ อย่างแข็งขัน [Politico Europe] [Guardian] การลาออกของนาย Frost เกิดขึ้นหลังจากเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับพรรคอนุรักษ์นิยมแพร่สะพัดเพียงไม่กี่เดือน อาทิ หลังจากที่นาง Allegra Stratton โฆษกแห่งดาวน์นิงสตรีต ถูกบันทึกวิดีโอว่ากำลังล้อเลียนเกี่ยวกับการจัดปาร์ตี้ ในช่วงล็อกดาวน์รอบแรกของสหราชอาณาจักร ซึ่งวิดีโอนี้ถูกปล่อยออกมาเมื่อเดือนธันวาคม ค.ศ. 2020 ทำให้เธอต้องลาออกจากตำแหน่งโฆษก ในวันที่ 8 ธันวาคม [Reuters] เช่นเดียวกันกับนายบอริส จอห์นสัน เขาถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากการจัดงานสังสรรค์ โดยเชิญผู้เข้าร่วม 19 คน มาที่บ้านเลขที่ 10 ถนนดาวน์นิง ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2020 อย่างไรก็ตาม นายจอห์นสันและทีมงานของเขาออกมาอธิบายว่า นั่นคือการรวมตัวกันเพื่อ “การประชุมงาน” (work meeting) และแน่นอนว่าผู้สังเกตการณ์ส่วนใหญ่มองว่า การอธิบายเช่นนี้กลับทำให้สถานการณ์ดูแย่ลง [Guardian] [Independent] การเลือกตั้งซ่อม (by-elections) ครั้งล่าสุด แสดงให้เห็นว่าพรรคอนุรักษ์นิยมสูญเสียเสียงสนับสนุนในการเลือกตั้ง ซึ่งตรงข้ามกับผลการเลือกตั้งทั่วไปที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2019 และสอดคล้องกันกับเสียงสนับสนุนที่ลดลงในช่วงนี้ตามผลสำรวจความคิดเห็นต่าง ๆ ทั้งนี้ การเลือกตั้งซ่อมครั้งหนึ่งที่เกิดขึ้นหลังจากการลาออกของนาย Owen Patterson ได้ทำให้พรรคเสรีประชาธิปไตย หรือ Liberal Democrats ชนะเลือกตั้ง และได้ที่นั่ง ส.ส. ที่เขต North Shropshire ไปครอง ซึ่งเขตนี้ พรรคอนุรักษ์นิยมปกครองมาเกือบจะ 200 ปี ผู้สังเกตการณ์จึงอธิบายว่าผลการเลือกตั้งครั้งนี้ และความนิยมที่ตกต่ำลงของพรรคอนุรักษ์นิยมนั้น เป็นผลพวงมาจากเรื่องอื้อฉาวต่าง ๆ เมื่อไม่นานมานี้ [Guardian] [Reuters] (wb/qc/pk, transl. by aa) สหราชอาณาจักร : ผู้บัญชาการทหารสูงสุดคนใหม่ตั้งเป้าที่จะปฏิรูปโครงสร้างของกระทรวงกลาโหมที่ “อุ้ยอ้าย” พลเรือเอก ท่าน Tony Radakin ขึ้นรับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม และตั้งใจที่จะดำเนินการตามวาระการปฏิรูปเพื่อเผชิญหน้ากับยุคใหม่ที่ “อันตราย”ซึ่งในคำแถลงต่อหน่วยงานป้องกันและรักษาความปลอดภัยของอ ังกฤษ (Royal United Services think tank) พลเรือเอก Radakin ได้บรรยายถึงสถานการณ์ความมั่นคงของอังกฤษว่า “มันซับซ้อนและอันตรายกว่าเวลาอื่นใด ตลอดช่วง 30 ปีที่ผ่านมา” เขาเอ่ยถึงชื่อรัสเซีย จีน อิหร่าน และเกาหลีเหนือว่าเป็นภัยคุกคามที่เฉพาะเจาะจง [Sky News] Radakin ซึ่งมีพื้นเพมาจากการรับราชการเป็นทหารเรือ ได้อธิบายต่อไปว่าโครงสร้างของกระทรวงกลาโหม ณ ปัจจุบันของอังกฤษนั้น ถือว่า “ใหญ่มากเกินไป มีลำดับชั้นมากเกินไป และอุ้ยอ้ายมากเกินไป” สำหรับสิ่งที่เขากล่าวต่อไปว่ามันเป็นการกลับมาอย่างต่อเนื่องของ “รูปแบบดั้งเดิมของการแข่งขันระหว่างรัฐที่คงเ ส้นคงวามากขึ้น” [Defense News] พลเรือเอก Radakin มองว่าความตึงเครียดระหว่างยูเครนและรัสเซียนั้น เป็นตัวอย่างของการแข่งขันระหว่างรัฐ “แบบดั้งเดิม” (classical) เมื่อช่วงต้นเดือนธันวาคม เขาได้ออกมาเตือนว่าการรุกรานเต็มรูปแบบของรัสเซียจะส่งผลให้เกิดความรุนแรง “ในระดับที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในยุโรป ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2” [Business Insider] นอกจากนี้ เขายังเรียกร้องให้มีการเพิ่มจำนวนผู้หญิงในเหล่าทัพต่าง ๆ ของอังกฤษให้มากขึ้น ซึ่งนี่ถือเป็นหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่เขาต้องการให้เกิดขึ้น พลเรือเอก Radakin ยังกล่าวเพิ่มเติมว่านี่คือ “ความเศร้าโศกของการที่กองทัพมีจำนวนผู้หญิงน้อยเกินไป” ซึ่งเป็น “ความท้าทายต่อทั้งระบบกลาโห ม/การป้องกัน” อย่างไรก็ดี ขณะนี้ จำนวนผู้หญิงคิดเป็นร้อยละ 11 ของกองกำลังประจำการทั้งหมดของอังกฤษ โดยรัฐบาลตั้งใจที่จะเพิ่มจำนวนผู้หญิงให้ไปถึงร้อยละ 30 ภายในปี ค.ศ. 2030 [BBC News] [Sky News] เช่นเดียวกันกับประเด็นด้านการจัดซื้อจัดจ้างโดยทันทีซึ่งกระทบไปทั้งกระทรวงกลาโหม ที่พลเรือเอก Radakin ต้องเอาชนะให้ได้ อาทิ โครงการรถยานเกราะ Ajax มูลค่า 3.5 พันล้านปอนด์ของกองทัพอังกฤษ ที่ถูกรบกวนด้วยความล่าช้าที่ดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด สถานะล่าสุดคือเมื่อเดือนกันยายน โครงการนี้ถือเป็น “รากสำคัญ” (cornerstone) ของความพยายามในการปรับโครงสร้างที่กำลังดำเนินอยู่ของกองทัพ และเป็นสิ่งที่ Radakin รับช่วงต่ออยู่ตอนนี้ [BBC News] [Sky News] อย่างไรก็ดี Radakin กล่าวถึงกติกาด้านความมั่นคงออกุส หรือ AUKUS security pact ที่สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และอังกฤษ ลงนามร่วมกันเมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 2021 ไปในทางบวก [EiR Monthly November 2021] เขาได้ไปพูดที่สถาบันนาวีแห่งสหรัฐอเมริกา (US Naval Institute) ในเดือนตุลาคม และบรรยายถึงกติกานี้ว่า “ยิ่งใหญ่และเป็นไปเชิงภูมิยุทธศาสตร์” รวมทั้งเป็นปฏิบัติการทางทหารร่วมกันระหว่าง 3 ชาติ เพื่อเป็นอนาคตแห่งการป้องกันทางทหารในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก [USNI News] [BBC News] (wb/qc, transl. by aa) สวีเดน : นายกรัฐมนตรีให้คำมั่นว่าจะลดเกณฑ์การเนรเทศลง สำหรับกลุ่มผู้ก่อเหตุความรุนแรง นาง Magdalena Andersson นายกรัฐมนตรีคนล่าสุดที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ให้สัมภาษณ์ว่า รัฐบาลของเธอจะเนรเทศอาชญากรที่ไม่ใช่ชาวสวีเดนให้มากขึ้น เนื่องจากมีความกังวลที่แพร่ขยายไปในวงกว้างเกี่ยวกับกลุ่มผู้ก่อเหตุความรุนแรง (gang violence) และการก่อเหตุโดยใช้ปืน (gun violence) ในสวีเดน โดยเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม เธอถูกถามระหว่างการให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์สวีเดน Dagens Nyheter ว่าใครที่เธอกำลังอ้างถึง เฉพาะเจาะจงไปที่ใครหรือไม่ นาง Andersson ได้ตอบว่า เธออ้างถึง “คนที่ก่ออาชญากรรมในสวีเดน และไม่ได้ถือสัญชาติสวีเดน” [Dagens Nyheter] บริษัท Novus ซึ่งเป็นบริษัททำแบบสำรวจความคิดเห็น ได้ออกมาระบุว่ากฎหมายและระเบียบเป็นข้อกังวลที่ใหญ่ที่สุดของผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงชาวสวีเดนท่ามกลางความรุนแรงที่เพิ่มขึ้น เพราะสวีเดนถือเป็นประเทศเดียวในยุโรปที่มีเหตุกราดยิงถึงแก่ชีวิตเพิ่มสูงขึ้น ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา โดยมีจำนวนผู้เสียชีวิตกว่า 40 ราย ในปี ค.ศ. 2021 จากการศึกษาของสภาการป้องกันอาชญากรรมแห่งชาติสวีเดน (Swedish National Council for Crime Prevention) (Brå) ทั้งนี้ ภายใต้กฎหมายปัจจุบัน ชาวต่างชาติที่ถูกตัดสินโทษจำคุกเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 12 เดือน จะถูกเนรเทศออกจากสวีเดน นาง Andersson จึงได้มอบหมายให้นาย Anders Ygeman รัฐมนตรีว่าการกระทรวงนโยบายว่าด้วยการอพยพ ลดเกณฑ์นี้ลงเหลือแค่ 6 เดือน นาง Andersson เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของสวีเดน โดยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา [EiR Monthly December 2021] ท่าทีต่ออาชญากรรมที่นาง Andersson และพรรคสังคมประชาธิปไตย (Social Democratic Party) ของเธอ มีนั้น พวกเขายอมรับว่ามันมีความเชื่อมโยงกันอยู่ระหว่างความรุนแรง และหลายทศวรรษที่สวีเดนมีนโยบายการรับผู้อพยพแบบเสรีนิยม [New Statesman] แถลงการณ์เกี่ยวกับแนวทางใหม่ที่แข็งกร้าวของนาง Andersson มาในห้วงเวลาที่พรรคฝ่ายขวาจัด ฝ่ายค้าน Sweden Democrats ได้รับความนิยมเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งพรรคฝ่ายขวาจัดนี้ ได้รับการสนับสนุนจากผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงประมาณร้อยละ 20 ในเดือนธันวาคม ตามผลสำรวจความคิดเห็นที่จัดทำโดย Val. Digital เนื่องด้วยมีพลเมืองสวีเดนที่รู้สึกขุ่นเคืองเพิ่มขึ้นจากความล้มเหลวของนักการเมืองในการควบคุมความรุนแรง นาง Andersson ซึ่งจะต้องลงสมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งทั่วไป ในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ ก็จำเป็นต้องหว่านล้อมให้ชาวสวีเดนเชื่อให้ได้ว่า เธอมีแผนการและแผนการที่เธอมีนั้นจะได้ผล [New Statesman] (mh/pk, transl. by aa) กฎหมายรัฐธรรมนูญและการเมืองในยุโรปกลาง ![]() ออสเตรีย: หลังจากความวุ่นวายทางการเมือง นายกรัฐมนตรีคนใหม่ก็ได้รับการแต่งตั้ง นักอนุรักษ์นิยม คาร์ล เนฮัมเมอร์ ซึ่งสาบานตนเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่สามของออสเตรียในวันที่ 6 ธันวาคมในช่วงเวลาหลายเดือน เผชิญกับภารกิจที่ต้องขจัดความตึงเครียดในเรื่องอื้อฉาวและคลี่คลายความวุ่นวายทางการเมืองซึ่งทำให้รัฐบาลผสมของประเทศสั่นคลอน ผู้สังเกตการณ์ได้กล่าวว่าเนฮัมเมอร์อาจทำให้เกิดการเผชิญหน้ากันน้อยลงภายในสหภาพยุโรป หลังจากที่ออสเตรียภายใต้การนำของอดีตนายกรัฐมนตรีเซบาสเตียน เคิร์ซได้ขัดขวางการตัดสินใจที่สำคัญ [France24/AFP] เนฮัมเมอร์ซึ่งเป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยที่มีภาพลักษณ์ต่อสาธารณะว่าเป็นอดีตทหารที่เรียบร้อยและน่านับถือ เข้ารับตำแหน่งผู้นำของประเทศต่อจากอเล็กซานเดอร์ ชาลเลนเบิร์ก และยังได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าพรรคอนุรักษ์นิยมออสเตรียนพีเพิลสปาร์ตี (ÖVP) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลอีกด้วย ชาลเลนเบิร์กได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดในช่วงเวลาสั้นๆ หลังจากที่เคิร์ซ วัย 35 นักการเมืองและนักเคลื่อนไหวที่โดนเด่นของของพรรคอนุรักษ์นิยมยุโรป [Eurotopics] ลาออกในเดือนตุลาคม ในท่ามกลางข้อกล่าวหาว่าเขาใช้เงินของผู้เสียภาษีเพื่อจ้างหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งในการปรับเปลี่ยนโพลสำรวจความคิดเห็นเพื่อทำให้ตัวเอง ดูดี [EiR Monthly December 2021] ตำรวจบุกเข้าไปในสำนักงานของเคิร์ซในท่ามกลางเรื่องอื้อฉาวที่ทำให้อาชีพที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วของเขาต้องหยุดชะงัก เขาปฏิเสธการกระทำผิด แต่เมื่อต้นเดือนธันวาคมเขาประกาศว่าจะเลิกเล่นการเมือง เนฮัมเมอร์กล่าวว่าเขาจะรักษาจุดยืนที่ยึดมั่นในหลักการของพรรค ÖVP ในเรื่องการย้ายถิ่นฐานและความมั่นคงปลอดภัย [France24/AFP] เขาสับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรีและส่งชาลเลนเบิร์กซึ่งเป็นนักการทูตอาชีพที่ขาดฐานอำนาจที่กว้างขวางในพรรค ÖVP ไปสู่งานก่อนหน้านี้ของเขาในฐา นะรัฐมนตรีต่างประเทศ นอกจากนี้ เนฮัมเมอร์ยังได้แต่งตั้งรัฐมนตรีว่าการคนใหม่สำหรับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง และกระทรวงศึกษาธิการด้วย [Deutsche Welle/Reuters/AP] [Euractiv] (pk, transl. by vv) สาธารณรัฐเช็ก: งานยากสำหรับรัฐบาลใหม่ รัฐบาลเช็กชุดใหม่ที่นำโดยนายกรัฐมนตรีฝ่ายขวากลาง เปตระ เฟียล่า และเข้าสาบานตนอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 17 ธันวาคมโดยประธานาธิบดีมิลอช เซมันนั้น เผชิญกับความท้าทายต่างๆ ซึ่งรวมถึงจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่สูงขึ้น ภาวะเงินเฟ้อ และราคาพลังงาน รวมทั้งการขาดดุลงบประมาณที่เพิ่มขึ้น [Euronews] [Guardian] เซมานซึ่งสุขภาพที่ไม่ดีของเขาเป็นเหตุให้เกิดความล่าช้าในการจัดพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของรัฐบาล ได้พยายามจะยับยั้งการเลือกรัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่ของเฟียล่า นั่นคือ แจน ลิปาฟสกี้ ทั้งนี้เนื่องจากคุณสมบัติด้านวิชาการที่ไม่เพียงพอของเขาและเขายังถูกกล่าวหาว่าแสดงท่าทีวิพากษ์วิจารณ์ต่ออิสราเอล เฟียล่าปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในคณะรัฐมนตรีของเขาและขู่เซมันว่าจะดำเนินการทางกฎหมาย โดยยืนยันว่าประธานาธิบดีไม่มีสิทธิ์ที่จะขัดขวางการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ซึ่งได้รับเลือกจากสมาชิกพรรคร่วมรัฐบาลห้าพรรค นักวิเคราะห์ชี้ว่าความเคลื่อนไหวของประธานาธิบดี ผู้ซึ่งได้พยายามส่งเสริมและสนับสนุนการบริหารประเทศแบบเผด็จการในรัสเซียและจีนนั้น มีเป้าหมายเพื่อรักษาอิทธิพลของตนต่อนโยบายต่างประเทศ [Guardian] [Euractiv] เฟียล่าได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีหลังจากการเลือกตั้งรัฐสภาในเดือนตุลาคมนั้นได้โค่นล้มนายกรัฐมนตรี อันแดรย์ บาบิช ซึ่งเป็นมหาเศรษฐีที่ได้รับความนิยมและเป็นผู้ต่อต้านอำนาจที่เพิ่มขึ้นของสหภาพยุโรป (Eurosceptic) ลง [Euronews] [Politico] พรรคร่วมรัฐบาลชุดใหม่มีความแตกต่างภายในในหลายประเด็น รวมถึงประเด็นการแต่งงานของคนเพศเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการเลือกใช้เงินสกุลยูโร อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการสนับสนุนที่ชัดเจนต่อสหภาพยุโรปและนาโต แต่รัฐบาลชุดนี้ก็คงบทบาทที่คล้ายคลึงกับรัฐบาลชุดก่อนหน้านี้ที่นำโดยบาบิช ในด้านการใช้ยานพาหนะเครื่องยนต์สันดาป พลังงานนิวเคลียร์ และการลดการปล่อยมลพิษ เฟียล่าได้กล่าวถึงข้อเสนอของคณะกรรมาธิการยุโรปในการห้ามการผลิตและการขายยานพาหนะเครื่องยนต์สันดาปภายในปี 2035 ว่า "ไม่อาจยอมรับได้" และแสดงการสนับสนุนอย่างแข็งขันต่อการรวมพลังงานนิวเคลียร์เข้าไว้ในอนุกรมวิธานสีเขียว (Green Taxonomy) ของสหภาพยุโรป [Euronews] [Expats.cz] [Euractiv] อัลบิน ไซเบรอะ นักวิเคราะห์การเมืองชาวเช็กกล่าวว่า “เปตระ เฟียล่า เข้ารับตำแหน่งอย่างง่ายดายในสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุดที่นายกรัฐมนตรียุคหลังคอมมิวนิสต์ใดๆ ได้ประสบมา เขาสามารถเผชิญกับสถานการณ์วิกฤติที่กระตุ้นให้เกิดขึ้นโดยพรรค ANO [ปฏิบัติการเพื่อประชาชนผู้ไม่พอใจ (Action for Dissatisfied Citizens) ซึ่งเป็นพรรคของบาบิช] และพรรคเสรีภาพและประชาธิปไตยทางตรง ซึ่งเป็นฝ่ายขวาจัดที่ยังคงเป็นพลังที่น่าเกรงขามได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว” [Guardian] ความสำคัญอันดับแรกของรัฐบาลชุดใหม่คือการแก้ไขแผนปฏิบัติการต่อสู้กับโควิด-19 เพื่อจัดการกับผู้ติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์โอมิครอนที่เพิ่มสูงขึ้น รัฐบาลของเฟียล่าได้เพิ่มการตรวจพีซีอาร์ทุกวัน แต่ไม่เหมือนประเทศออสเตรียที่อยู่ติดกัน รัฐบาลนี้ลังเลที่จะออกกฎหมายบังคับการฉีดวัคซีนโดยไม่ได้รับอาณัติทั่วไปจากสหภาพยุโรปเพื่อดำเนินการดังกล่าว[Czech Radio] (sd/pk, transl. by vv) ฮังการี: ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนกล่าวว่า กฎข้อบังคับที่ต่อต้าน LGBTQ+ ละเมิดมาตรฐานสิทธิมนุษยชน กฎข้อบังคับในฮังการีที่ห้ามโรงเรียนไม่ให้สอนนักเรียนเกี่ยวกับประเด็นการรักร่วมเพศและคนข้ามเพศนั้นละเมิดมาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากล ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญจากองค์กรสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปที่สำคัญได้กล่าวเตือน [Reuters] ผู้เชี่ยวชาญจากคณะกรรมาธิการเวนิส ซึ่งให้คำแนะนำแก่หน่วยงานสิทธิมนุษยชนแห่งสภายุโรป said กล่าวเมื่อวันที่ 13 ธันวาคมว่า กฎหมายของฮังการีมีส่วนในการสร้าง “สภาพแวดล้อมที่คุกคาม” และจงใจทำให้เกิดช่องว่าง “สำหรับการสอนด้านเดียวและมีอคติเท่านั้น ซึ่งเปิดประตูไปสู่การตราหน้าและการเลือกปฏิบัติต่อชาว LGBTQI” [Politico Europe] [Venice Commission] ร่างกฎหมายที่ผ่านในเดือนมิถุนายนนี้ ถูกนำเสนอโดยรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีวิกโตร์ โอร์บานซึ่งเป็นนักชาตินิยมและดำรงตำแหน่งมายาวนาน และเป็นผู้ชื่นชอบ "ประชาธิปไตยแบบไร้เสรี" ซึ่งได้แสดงภาพตัวเขาเองว่าเป็นผู้ปกป้องค่านิยมของคริสเตียนที่ต่อต้าน "อุดมการณ์ LGBT" นักวิจารณ์กล่าวหานายกรัฐมนตรีฮังการีว่ายุยงให้เกิดความเกลียดชังต่อกลุ่ม LGBTQ+ ทั้งนี้เพื่อดึงความสนใจจากความขัดแย้งทางการเมืองและปัญ หาเศรษฐกิจ เนื่องจากเขาเผชิญกับความท้าทายในการเลือกตั้งรัฐสภาช่วงฤดูใบไม้ผลิของฮังการีจากพันธมิตรที่ประกอบด้วยพรรคฝ่ายค้านที่เพิ่งรวมตัวกัน เมื่อเร็วๆ นี้ [Reuters] [Politico Europe] [EiR Monthly December 2021] โอร์บานได้แย้งว่ากฎหมายซึ่งได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากผู้นำยุโรปและสถาบันต่างๆ ของสหภาพยุโรปนั้น มีจุดมุ่งหมายเพื่อปกป้องสิทธิของผู้เยาว์และผู้ปกครอง เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม คณะกรรมาธิการยุโรปได้ให้เวลาแก่รัฐบาลฮังการีสองเดือนในการตอบสนองต่อข้อกังวลของผู้บริหารสหภาพยุโรป หลังจากได้ดำเนินการขั้นที่สองของขั้นตอนตอบโต้ต่อการละเมิดสิทธิ์ (infringement procedure) ต่อฮังการี [Politico Europe] (pk, transl. by vv) โปแลนด์: ประธานาธิบดีคัดค้านร่างกฎหมายที่ถูกมองว่าเป็นการโจมตีเสรีภาพสื่อ ประธานาธิบดีโปแลนด์ได้คัดค้านร่างกฎหมายที่เป็นที่ถกเถียง ซึ่งตามที่นักวิจารณ์ระบุว่ามีเป้าหมายที่จะปิดปากสถานีกระจายภาพและเสียงของสหรัฐฯ ที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลชาตินิยมในกรุงวอร์ซอ และขู่ว่าจะทำลายความสัมพันธ์กับรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้รับประกันหลักต่อความมั่นคงปลอดภัยของโปแลนด์ กฎหมายดังกล่าวซึ่งได้รับการลงคะแนนเสียงให้ผ่านโดยสภาล่างของรัฐสภาโปแลนด์เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ได้จุดชนวนให้เกิดการประท้วงขึ้นตามท้องถนนทั้งในเมืองเล็กและใหญ่ราว 100 แห่งทั่วประเทศ และทำให้เกิดความตึงเครียดเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับเสรีภาพของสื่อและบรรทัดฐานของประชาธิปไตยที่ได้เห็นวอร์ซอขัดแย้งอย่างรุนแรงกับบรัสเซลส ์ซ้ำแล้วซ้ำอีก ฝ่ายค้านของรัฐบาลกล่าวว่ากฎหมายดังกล่าวมีขึ้นในขณะที่รัฐบาลโปแลนด์ต้องการพันธมิตรอเมริกันที่แข็งแกร่งของตนอยู่เคียงข้างตนในท่ามก ลางวิกฤตการณ์ผู้อพยพที่พรมแดนโปแลนด์-เบลารุส และกองกำลังรัสเซียที่เสริมทัพใกล้ชายแดนยูเครน กฎหมายดังกล่าวที่สร้างความเข้มงวดแก่กฎระเบียบว่าด้วยความเป็นเจ้าของสื่อของต่างชาติ จะบังคับให้บริษัทดิสคัฟเวอรี่ของสหรัฐฯ ขายหุ้นที่มีอำนาจควบคุม (controlling stake) ใน TVN ซึ่งเป็นสถานีกระจายภาพและเสียงของเอกชนรายใหญ่ที่สุดของโปแลนด์ สถานีนี้เป็นหนามในเนื้อมาช้านานของฝ่ายขวาที่ปกครองประเทศ ประธานาธิบดี อันด์แชย์ ดูดา ซึ่งเป็นนักอนุรักษ์นิยมที่ถูกกล่าวหาว่าล้มเหลวในการหยุดยั้งรัฐบาลจากการบ่อนทำลายประชาธิปไตย กล่าวว่าเขาร่วมความรู้สึกวิตกกังวลของชาวโปแลนด์บางคนในเรื่องที่เกี่ยวกับเสรีภาพในการพูด เขากล่าวเสริมว่าหากกฎหมายมีผลบังคับใช้ มันก็อาจเป็นการละเมิดสนธิสัญญากับสหรัฐฯ ว่าด้วยความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้า [thenews.pl] ในทางทฤษฎีแล้ว รัฐสภาโปแลนด์สามารถล้มล้างการลงคะแนนยับยั้งของประธานาธิบดีได้ แต่ฝ่ายขวาที่ปกครองประเทศไม่มีเสียงข้างมากที่จำเป็นในสภานิติบัญญัติ รองประธานคณะกรรมาธิการยุโรป เวร่า จูโรวาได้เตือนว่าผู้บริหารของกลุ่มจะ "ไม่ลังเลที่จะดำเนินการในกรณีที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายของสหภาพยุโรป" เน็ด ไพรซ์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวในถ้อยแถลงที่รุนแรงผิดปกติซึ่งพุ่งเป้าไปยังหนึ่งในพันธมิตรทางทหารที่แข็งแกร่งที่สุดของอเมริกา เมื่อต้นเดือนธันวาคม ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ “ยุ่งยากใจอย่างมาก” กับร่างกฎหมายที่ผ่านรัฐสภาโปแลนด์ ไพรซ์กล่าวเสริมว่ามาตรการดังกล่าวจะบ่อนทำลายเสรีภาพในการแสดงออก ลดเสรีภาพของสื่อ และ “ทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติในสิทธิในทรัพย์สินของพวกเขาและความศักดิ์สิทธิ์ของสัญญาในโปแลนด์” [Reuters] พรรคร่วมรัฐบาลของโปแลนด์ที่นำโดยพรรคกฎหมายและความยุติธรรม (PiS) ซึ่งเป็นฝ่ายขวา ได้ถูกฝ่ายตรงข้ามกล่าวหาว่าพยายามระงับการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลในสื่ออิสระ รวมทั้งทำให้สถานีโทรทัศน์สาธารณะกลายเป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่ออย่างสมบูรณ์ที่กระหน่ำตีฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่ลดละ นับตั้งแต่พรรคกฎหมายและความยุติธรรมเข้ามามีอำนาจในปี 2015 นั้น โปแลนด์ก็ได้ร่วงลงจากอันดับที่ 18 มาอยู่อันดับที่ 64 ในดัชนีด้านเสรีภาพของสื่อมวลชนโลก (World Press Freedom Index) ที่ออกโดยสมาคมผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน (Reporters Without Borders) ซึ่งเป็นหน่วยงานควบคุมดูแลสื่อระดับนานาชาติ [Deutsche Welle] ผู้สนับสนุนรัฐบาลกล่าวว่ากฎหมายฉบับใหม่ซึ่งจะปกป้องบริษัทต่างๆ จากนอกเขตเศรษฐกิจยุโรปที่ถือหุ้นใหญ่ในตลาดของโปแลนด์ จะสะท้อนกฎระเบียบในบางประเทศอื่นๆ ในสหภาพยุโรป พวกเขายังโต้แย้งด้วยว่ากฎระเบียบเหล่านี้มีความจำเป็นเพื่อปกป้องบรรดาเจ้าของจากประเทศที่ขาดดุลประชาธิปไตย (democratic deficit) เช่นรัสเซียและจีน ไม่ให้เข้าครอบครองสื่อโปแลนด์ [Notes From Poland] (pk, transl. by vv) กฎหมายรัฐธรรมนูญและการเมืองในยุโรปใต้ ![]() อิตาลี: หน่วยงานกำกับดูแลลงโทษปรับ Amazon อย่างหนักโดยอ้างว่ามีการละเมิดการครอบงำตลาด หน่วยงานป้องกันการผูกขาดของอิตาลีได้ปรับผู้ค้าปลีกออนไลน์ Amazon เป็นจำนวน 1.13พันล้านยูโร โดยกล่าวหาว่าบริษัทนี้ใช้ประโยชน์จากตำแหน่งครอบงำทางการตลาดของตนโดยส่งเสริมบริการด้านโลจิสติกส์ Fulfillment by Amazon (FBA) ของตนเองซึ่งละเมิดกฎระเบียบการแข่งขันทางธุรกิจของสหภาพยุโรป Amazon กล่าวว่าตน "ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง" กับการตัดสินใจของหน่วยงานกำกับดูแลนั้นและจะยื่นอุทธรณ์ต่อการปรับ ซึ่งเป็นหนึ่งในค่าปรับที่มีจำนวนมากที่สุดที่เรียกเก็บจากบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของอเมริกาในยุโรป [Reuters] [AP] [Financial Times] หน่วยงานควบคุมดูแลและป้องกันการผูกขาดกล่าวหา Amazon ว่าทำให้ผู้ขายที่เป็นบุคคลภายนอกเสียเปรียบ [BBC News] คณะกรรมาธิการยุโรปซึ่งกำลังตรวจสอบแนวปฏิบัติทางธุรกิจของ Amazon กล่าวว่าตนได้ร่วมมือกับหน่วยงานด้านการแข่งขันทางธุรกิจของอิตาลีในคดีน ี้ [Reuters] สหภาพยุโรปได้บุกเบิกความพยายามที่จะกำกับดูแลเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ในเดือนพฤศจิกายน ศาลยุติธรรมแห่งสหภาพยุโรปยกคำร้องอุทธรณ์ของ Google ต่อค่าปรับจำนวน 2.42 พันล้านยูโรสำหรับการละเมิดกฎระเบียบการแข่งขันทางธุรกิจ มากาเร็ต เวสเทเกอร์ รองประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ผู้ซึ่งกำหนดบทลงโทษนี้ขึ้นในปี 2017 กล่าวว่าการพิจารณาคดีจะ "มีอิทธิพลต่อการพัฒนางานด้านกฎหมายของเรา" ในกฎหมายว่าด้วยตลาดดิจิทัลของสหภาพยุโรปที่กำลังจะนำมาใช้ ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อกำกับดูแลแพลตฟอร์มออนไลน์ขนาดใหญ่ที่มีอิทธิพลอย่างมากทางอินเทอร์เน็ต [EiR Monthly December 2021] (pk, transl. by vv) โปรตุเกส: การเลือกตั้งเร็วกว่ากำหนดอาจล้มเหลวในการยุติความไม่แน่นอนทางการเมือง ผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวโปรตุเกสจะลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งรัฐสภาก่อนกำหนดในวันที่ 30 มกราคม แต่นักวิเคราะห์กล่าวว่าการลงคะแนนอาจไม่สามารถยุติความวุ่นวายทางการเมืองที่เกิดจากความล้มเหลวของร่างกฎหมายงบประมาณที่สำคัญ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ประธานาธิบดีมาร์เซโล เรเบโล เด ซูซา มีคำสั่งอย่างเป็นทางการให้ยุบสภา ซึ่งเป็นเวลาหนึ่งเดือนหลังจากประกาศว่าเขาจะจัดให้มีการเลือกตั้งเร็วกว่ากำหนด 2 ปี [BBC News] การตัดสินใจของเขามีขึ้นหลังจากฝ่ายนิติบัญญัติปัดร่างงบประมาณสำหรับปี 2022 ที่รัฐบาลสังคมนิยมเสียงข้างน้อยของนายกรัฐมนตรีอันโตนิโอ คอสตา นำเสนอ ซึ่งเป็นการยุติเสถียรภาพทางการเมืองเป็นเวลา 6 ปี พรรคคอมมิวนิสต์และพรรคกลุ่มซ้าย (Left Bloc) ซึ่งเคยเป็นพันธมิตรของรัฐบาล กล่าวว่าคอสตาสนับสนุนการลดการขาดดุลมากกว่าการลงทุนด้านสาธารณสุข และเพิ่มการคุ้มครองลูกจ้าง [EiR Monthly December 2021] โพลความคิดเห็นชี้ว่าพรรคสังคมนิยมกลางซ้ายจะชนะการเลือกตั้งโดยมีคะแนนนำเหนือพรรคสังคมประชาธิปไตยซึ่งเป็นฝ่ายค้านหลักอย่างมีนัยสำค ัญ แต่ไม่ได้รับเสียงข้างมากในรัฐสภา นั่นอาจหมายถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ดำเนินต่อไปซึ่งอาจขัดขวางโครงการที่ได้รับเงินทุนสนับสนุนจากแผนฟื้นฟูของสหภาพยุโรปเพื่อร ับมือกับโรคระบาดใหญ่ และส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของโปรตุเกส [Reuters] (pk, transl. by vv) สเปน: อดีตกษัตริย์แสวงหาความคุ้มกันที่ให้แก่พระมหากษัตริย์ในระหว่างที่ถูกฟ้องร้องจากอดีตคู่รัก ฮวน คาร์ลอสที่ 1 อดีตกษัตริย์แห่งสเปนกำลังหาความคุ้มกันให้แก่พระมหากษัตริย์ในขณะที่เขาเผชิญกับข้อกล่าวหาว่าเขาใช้บริการของหน่วยงานจารกรรม CNI ของสเป นในการสอดส่องและคุกคามอดีตคนรักของเขา [Guardian] [Independent] ในระหว่างที่คดียื่นต่อศาลในกรุงลอนดอนนั้น ทนายความของอดีตกษัตริย์ได้ย้ำว่า ฮวน คาลอสปฏิเสธข้อกล่าวหาที่มีต่อเขา ซึ่งรวมถึงข้อกล่าวหาว่ามีการติดตั้งกล้องวงจรปิดที่บ้านของอดีตคู่รักของเขาในเมืองชร็อพเชียร์ที่อยู่ทางตอนกลางของอังกฤษ ซึ่งถูกยิงในปี 2020 ด้วย [Guardian] คอรินนา วิตต์เกนสตีน-เซย์น นักธุรกิจสตรีชาวเดนมาร์กกล่าวว่า การคุกคามที่เป็นข้อกล่าวหานั้นมีจุดมุ่งหมายเพื่อเกลี้ยกล่อมให้เธอส่งคืนของขวัญมูลค่ากว่า 65 ล้านปอนด์ที่ได้รับจากความสัมพันธ์ของพวกเขาในระหว่างปี 2004 ถึง 2009 หรือไม่ก็เพื่อให้เธอกลับไปมีความสัมพันธ์กับฮวน คาร์ลอสอีกครั้ง [País] [Público] [Guardian] ในคำให้การต่อสู้คดีของอดีตกษัตริย์ เขากำลังร้องขอความคุ้มกันที่ให้แก่พระมหากษัตริย์ที่ได้รับตามรัฐธรรมนูญของสเปน ซึ่งจะปกป้องเขาจากการถูกตัดสินลงโทษ [País] อย่างไรก็ตาม ทนายความของวิตต์เกนสตีน-เซย์นได้โต้แย้งเมื่อวันที่ 13 ธันวาคมที่ศาลยุติธรรม (Royal Courts of Justice) ในกรุงลอนดอนว่าความคุ้มกันนี้จะดำรงอยู่ตลอดรัชสมัยของกษัตริย์เท่านั้น ฮวน คาร์ลอส สละราชสมบัติและย้ายไปอยู่ที่กรุงอาบูดาบีในปี 2014 โดยให้โอรสคือเฟลิเปที่ 6 ขึ้นครองราชย์แทน ภายหลังจากนั้น ทนายความของเขาก็แย้งว่าความคุ้มกันนี้ใช้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว [Guardian] แต่ทนายฝ่ายจำเลย เซอร์ แดเนียล เบธเลเฮม ชี้ให้เห็นว่าเนื่องจากฮวน คาร์ลอสดำรงตำแหน่งกษัตริย์กิตติมศักดิ์และตามกฎหมายก็เป็นสมาชิกของราชวงศ์สเปน ความคุ้มกันที่ให้แก่พระมหากษัตริย์ของเขาจึงควรมีอยู่ [Guardian] [France24] ฮวน คาร์ลอส วัย 83 ปี อาจต้องไปปรากฎตัวที่ศาลต่อหน้าผู้พิพากษาเพื่อฟังคำตัดสินเกี่ยวกับคำร้องของเขาที่จะได้รับความคุ้มกัน คำตัดสินควรจะมีขึ้นภายในสองเดือนข้างหน้า [País] (ht/pk, transl. by vv) กฎหมายรัฐธรรมนูญและการเมืองในยุโรปตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ ![]() บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา: สาธารณรัฐเซิร์ปสกาเริ่มถอนตัวจากสถาบันของรัฐบาลกลางขณะเหตุวิกฤติทวีความรุนแรงขึ้น ฝ่ายนิติบัญญัติในสาธารณรัฐเซิร์ปสกาลงมติให้เริ่มถอนตัวจากสถาบันของรัฐบาลกลางบอสเนียเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม โดยนำสาธารณรัฐฯ ไปสู่การแยกตัวเป็นอิสระและขู่ว่าจะทำให้ประเทศล่มสลาย มีการลงคะแนนเสียงเรียกร้องให้รัฐสภาของสาธารณรัฐเซิร์ปสกาเขียนกฎหมายขึ้นใหม่เพื่อลบล้างสิทธิอำนาจของรัฐบอสเนียที่มีเหนือระบบทหาร ภาษี และตุลาการ แม้ว่าในทางเทคนิคแล้วจะไม่มีผลผูกพัน แต่การลงคะแนนเสียงครั้งนี้เป็นการแสดงออกว่าประธานาธิบดี มิโลรัด โดดิกแห่งสาธารณรัฐเซิร์ปสกายินดีเพียงใดที่จะท้าทายสิ่งที่ทำอยู่ และเพื่อให้ได้รับสิทธิในการปกครองตนเองต่อไปสำหรับเขตที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวเซิร์บ [Reuters] โดดิกและพรรคการเมืองของเขาได้โต้แย้งว่าปัญหาก็คือการรวมอำนาจมาอยู่ส่วนกลาง ในทัศนะของพวกเขานั้น รัฐบาลบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาได้ยึดอำนาจไปจากภูมิภาคเหล่านี้ โดยได้รับการสนับสนุนจากผู้ดำเนินการระหว่างประเทศ เช่น ผู้แทนระดับสูง (High Representative) สำนักงานผู้แทนระดับสูงมีอำนาจทางการเมืองอย่างมากภายใต้ข้อตกลงเดย์ตันปี 1995 ที่ยุติสงครามบอสเนียและก่อตั้งประเทศขึ้น [Reuters] วาเลนติน อินซ์โก ผู้แทนระดับสูงคนก่อน ได้ออกกฎหมายห้ามการพยายามปฏิเสธหรือลดระดับความรุนแรงของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (genocide denial) ในเดือนกรกฎาคม 2021การเคลื่อนไหวดังกล่าวยั่วยุโดดิกและพรรคของเขา ซึ่งมักตั้งคำถามถึงขอบเขตของการสังหารหมู่ที่สเรเบรนิกาในปี 1995 โดดิกยกย่อง รัตโก มลาดิช ซึ่งเป็นผู้นำกองทัพแห่งสาธารณรัฐเซิร์ปสกาที่ทำการสังหารหมู่ มลาดิชถูกตัดสินลงโทษในคดีอาชญากรรมสงครามซึ่งรวมถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ในปี 2017 [Guardian] [Euronews] ตั้งแต่นั้นมา โดดิกก็ได้เรียกร้องให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่สำหรับบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา โดยให้อำนาจในการเก็บภาษีอากรและความยุติธรรมแก่สาธารณรัฐเซิร์ปสกา ซึ่งจะทำให้สาธารณรัฐฯ มีกองทัพของตนเอง และจะลดอำนาจของผู้แทนระดับสูง เขายังได้อธิบายว่าบอสเนียเป็น "ประเทศที่ถูกบังคับให้เชื่อฟังและไม่อาจเกิดขึ้นได้" และว่าอำนาจของสาธารณรัฐเซิร์ปสกาถูก "ลักพาไป...โดยพวก Bosniaks" [Guardian] [RFE/RL] [Sarajevo Times] ตามคำกล่าวของนักข่าวคนหนึ่งในกรุงซาราเจโวที่อ้างโดย Euronews ว่าสถานการณ์นั้นเป็นผลมาจากหลายปีแห่งความไม่พอใจที่คุกรุ่นต่อระบบแบ่งปันอ ำนาจของประเทศ ในมุมมองของเขา ผลลัพธ์คือว่า “ไม่มีการดำเนินการใดๆ เพื่อกำจัดสาเหตุก็เพราะในแต่ละปีเราแค่พยายามแก้ไขผลที่เกิดขึ้น” ของวิกฤติการณ์ครั้งล่าสุด [Euronews] ตามที่ European in Review ได้รายงานก่อนหน้านี้ ประชาคมระหว่างประเทศได้จับตาดูเหตุการณ์ต่างๆ อย่างใกล้ชิด สหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกาได้มีส่วนร่วมในการดำเนินการทางการทูตที่เข้มข้นดุเดือดกับบอสเนีย ในขณะที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติอนุมัติให้คงกองกำลังรักษาสันติภาพที่นำโดยสหภาพยุโรปไว้ในบอสเนียต่อไปอีกปี การอนุมัติดังกล่าวต้องเอาชนะการคัดค้านจากรัสเซียและจีนซึ่งสนับสนุนโดดิกในความพยายามของเขาที่จะลดอำนาจของผู้แทนระดับสูง [EiR Monthly December 2021] ผู้แทนจากพรรคฝ่ายค้านของสาธารณรัฐเซิร์ปสกาออกจากรัฐสภาก่อนที่จะมีการลงคะแนนเสียง มีร์โก เชโรวิช หัวหน้าพรรคประชาธิปไตยเซอร์เบียพูดต่อต้านโดดิกอย่างรุนแรง โดยเตือนว่าแผนของเขา “ไม่สามารถดำเนินการได้โดยปราศจากสงคราม” [Reuters] [Guardian] รัฐมนตรีต่างประเทศ อันนาเลนา แบร์บ็อค แห่งเยอรมนีเรียกร้องให้มีการคว่ำบาตร ต่อโดดิก อย่างไรก็ตาม ไม่มีการกล่าวถึงบอสเนียในบทสรุปของการประชุมสุดยอดคณะมนตรียุโรปในเดือนธันวาคม [Euractiv] สหภาพยุโรปได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่สามารถปฏิบัติตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับบอสเนียได้ หลังจากข้อตกลงเดย์ตันปี 1995 ได้กำหนดกรอบการแบ่งปันอำนาจของประเทศ [Al Jazeera] โทม้ส บีเคิล ผู้เชี่ยวชาญด้านพื้นที่แถบคาบสมุทรบอลข่าน เขียนบทความลงในบรัสเซลส์ไทมส์ โดยวิพากษ์วิจารณ์สหภาพยุโรปว่า "แตกแยกและอ่อนแอ" ในเรื่องการตอบสนองแบบไม่ผูกมัดต่อวิกฤติการณ์นับจนถึงตอนนี้ โดยแย้งว่า "ท่าทีต่อต้านการขยายสมาชิกภาพ" ของประเทศสมาชิกอย่างเช่นกลุ่มประเทศฝรั่งเศสและเนเธอร์แลนด์ได้มีส่วนทำให้เกิดความไร้เสถียรภาพขึ้น [Brussels Times] สมาชิกสภายุโรปชาวเบลเยียม ฮิลเดอ เวาท์มานส์ สะท้อนมุมมองนี้ไว้ใน EUobserver โดยแย้งว่าสหภาพยุโรปจำเป็นต้อง "กำหนดความเป็นผู้นำ" เพื่อยุติความน่าเชื่อถือที่ลดลงของตนในหมู่ประเทศแถบบอลข่านตะวันตก [EUobserver] สหรัฐฯ ยังคงดำเนินความพยายามทางการทูตต่อไป ในขณะที่ เดเร็ค ชอลเล็ต ที่ปรึกษาของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ สัญญาว่าจะเร่งความพยายามในการ "นำ [วิกฤติการณ์นี้] ออกจากหน้าผา" ตุรกีซึ่งมีความสัมพันธ์ทางการทูตที่แน่นแฟ้นกับบอสเนียยังได้ประณามการออกเสียงลงคะแนนนั้นว่าเป็น "ความเสี่ยงที่ร้ายแรง" ต่อสันติภาพ [Guardian] [Reuters] โดดิกได้รับการสนับสนุนจากเซอร์เบียและรัสเซีย โดยเขาไปเยือนรัสเซียเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ที่นั่น โดดิกได้พบกับประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน และโดยแสร้งทำเป็นหารือเกี่ยวกับท่อส่งก๊าซที่อาจเปิดใช้งาน แต่ไม่มีการออกแถลงการณ์สรุปอย่างเป็นทางการของการพบปะนั้น [RFE/RL] โอลิเวียร์ วาร์เฮล์ย กรรมาธิการการขยายสมาชิกภาพของสหภาพยุโรปจากประเทศฮังการีได้สนับสนุนโดดิกในความพยายามของเขาเช่นกัน มีรายงานว่าวาร์เฮล์ยได้เจรจา "ข้อตกลงเกี่ยวกับเงื่อนไขทางการเมือง (political package) ที่เปราะบาง" กับโดดิกเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนตอนที่เขาไปเยือนประเทศนี้ วาร์เฮล์ยเห็นพ้องกับโดดิกว่าผู้แทนระดับสูงคนก่อนต้องรับผิดชอบต่อการจุดชนวนให้เกิดวิกฤติการณ์ในปัจจุบัน [Euractiv] [Guardian] ในขณะที่วิกฤติการณ์นี้กำลังถูกจับตามองอย่างจริงจังนั้น ผู้สังเกตการณ์บางคนก็ไม่ท้อถอย มาร์โค พรีเล็ค ที่ปรึกษาและนักวิเคราะห์ได้ให้สัมภาษณ์กับ RFE/RL โดยชี้ไปที่ “แหล่งสำรองของความเต็มใจที่จะอยู่ร่วมกัน” ที่สามารถพบได้ในคนรุ่นใหม่ที่ได้เติบโตขึ้นมาใน “บอสเนียที่เกิดจากข้อตกลงเดย์ตันนี้” [RFE/RL] (wb/qc/pk, transl. by vv) เบลารุส: แรงกดดันอย่างไม่หยุดหยั้งต่อสื่ออิสระและบล๊อกเกอร์ที่มีการลงโทษถึง 18 ปี ความสามารถในการทำงานของสื่ออิสระในเบลารุสลดลงสืบเนื่องจากการที่ นายซยาเฮร์ ซิคานูสกายา (Syarhei Tsikhanouski) ถูกต้องโทษจำคุก 18 ปี จากการทำบล็อกวิดีโอและวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ซึ่งทำให้ความหวังต่อการเจรจาระหว่างฝ่ายรัฐบาลผู้มีอำนาจและพรรคการเมืองฝ่ายค้านถดถอยลง นายซิคานูสกายา ผู้ซึ่งเคยประกาศว่าจะลงสมัครเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในการเลือกตั้งปี 2020 เพื่อแข่งขันกับประธานาธิบดี อเล็กซานเดอร์ ลูคาเชนโก ถูกจับกุมในภายหลังและต้องโทษในวันที่ 14 ธันวาคม ข้อหาจัดการประท้วงและปลุกปั่นความเกลียดชังในสังคม การจับกุมนั้นได้ผลักดันให้ นางสเวียตลานา ซิคานูสกายา (Sviatlana Tsikhanouskaya) ภรรยาของเขาเดินหน้าทำงานเพื่อคัดค้านและลงสมัครเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเพื่อแข่งขันกับประธานาธิบดีลูคาเชนโกในการเลือกตั้ง ซึ่งผู้สังเกตุการณ์จากนานาชาติเห็นว่าผลการเลือกตั้งจะถูกบิดเบือนและเอนเอียงไปทางผู้นำเด็จการ การพิจารณาคดีและลงโทษของนายซิคานูสกายาก็ยังถูกประนามและไม่ได้รับความเชื่อถือจากหลายๆประเทศในยุโรปเช่นกัน [BBC News] [Reuters] [Deutsche Welle] ร่างบทบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งถูกตีพิมพ์ในช่วงปลายธันวาคมที่ผ่านมาโดยฝ่ายรัฐบาลของเบลารุส อาจมีการบังคับใช้กฎหมายใหม่ในการจำกัดวาระของประธานาธิบดีสูงสุดเป็น 2 เทอม และจะมีผลแค่กับประธานาธิบดีที่ถูกเลือกตั้งขึ้นมาใหม่เท่านั้น บทบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญนี้อาจเปิดทางให้ประธานาธิบดีลูคาเชนโกได้ดำรงตำแหน่งเป็นประมุขของรัฐจนถึงปี 2035 [Euronews] ในขณะเดียวกันรัฐบาลของเบลารุสก็ยังไม่ยอมความในเรื่องของคดีที่มีต่อสื่อและนักเคลื่อนไหวฝ่ายค้าน พนักงานอัยการได้สั่งฟ้องแฟนสาวของนายรามัน ปราตาเซียวิช บล็อกเกอร์ฝ่ายค้านผู้ถูกจับกุมหลังจากเหตุการณ์การที่เครื่องบินของสายการบินไรอันแอร์ถูกบังคับให้หันเครื่องกลับมาที่เบ ลารุส [RFE/RL] โดยทางการโปแลนด์อ้างว่าหน่วยงานด้านความมั่นคงของเบลารุสมีส่วนในเหตุการณ์หันเครื่องบินเมื่อเดือนพฤษภาคม [Moscow Times] นาย Eduard Palchys บล็อกเกอร์ชาวเบลารุสถูกนำขึ้นศาลเมื่อวันที่ 6 ธันวาคมเพราะเขานั้นไม่ยอมรับชัยชนะของประธานาธิบดีลูคาเชนโกในการเลือกตั้งเมื่อปี 2020 [RFE/RL]และนาย Syarhey Satsuk บรรณาธิการสื่อออนไลน์ถูกคุมตัวหลังจากการถูกค้นที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นเหตุการณ์สืบเนื่องมาจากการที่เขานั้นรายงานข่าวการประท้วงรัฐบา ลเบลารุสในปี2020 ที่แพร่หลายตามท้องถนน [RFE/RL] สมาคมสื่อแห่งเบลารุส (Belarusian Association of Journalists) อ้างว่าขณะนี้สื่อจำนวน 31 คนกำลังถูกคุมตัวไว้หรือไม่ก็อาจต้องเผชิญกับการถูกตั้งข้อหาที่เป็นผลมาจากการปฏิบัติหน้าที่ตามอาชีพของพว กเขา [EBU] (qc, transl. by ph) รัสเซีย: องค์กรสิทธิมนุษยชน เมมโมเรียล ถูกสั่งให้ระงับการทำงานสืบเนื่องมาจากการปราบปรามสื่อที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง องค์กรระหว่างประเทศทางด้านสิทธิมนุษยชนต่างประนามรัสเซียมาโดยตลอด ในเรื่องการดำเนินคดีกับทนายความของสื่อ และเรียกร้องให้ผู้ประกาศ ข่าวได้รับความช่วยเหลือทางกฎหมายอย่างเหมาะสม การปราบปรามประชาสังคมและสื่อถูกดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องจนถึงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เ ห็นได้จากการที่ศาลมีคำสั่งปิดทำการศูนย์สิทธิมนุษยชนเมมโมเรียล (Memorial Human Rights Centre) ซึ่งเป็นองค์กรทางด้านสิทธิมนุษยชนที่โด่งดังที่สุดของรัสเซีย [Deutsche Welle] ทั้งองค์การนิรโทษกรรมสากล (Amnesty International) และนักข่าวไร้พรมแดน (Reporters Without Borders: RSF) ได้ทำการยื่นอุทธรณ์ท่ามกลางสถานการณ์“การก่อกวนที่เพิ่มขึ้น” จากหน่วยงานที่มีอำนาจของรัสเซียสื่อโดยอาศัยกฎหมาย “สายลับต่างชาติ” [RFE/RL] ในเดือนนี้มีการอุทธรณ์ที่ถูกยื่นสืบเนื่องมาจากหนึ่งในทนายความผู้ต่อสู้คดีให้แก่นายอีวาน ซาฟรอนนอฟ (Ivan Safronov) นักข่าวในด้านการสืบสวนที่กำลังถูกคุมขัง ถูกบังคับให้หลบหนีไปที่จอร์เจียเมื่อปลายพฤศจิกายนที่ผ่านมา นายเยฟเกนี สเมอร์นอฟ (Yevgeny Smirnov) ผู้เป็นทนายความได้ทำการหลบหนีออกนอกประเทศหลังจากที่สมาคมเนติบัณฑิตยสภาแห่งท้องที่เลนินการ์ด (Leningrad regional bar association) ได้เริ่มดำเนินการทางวินัยกับเขา อันเป็นการกระทำในนามของหน่วยความมั่นคงกลาง (Federal Security Service: FSB) [Meduza] นายซาฟรอนนอฟถูกตั้งข้อกล่าวหาการเป็นกบฏต่อแผ่นดินเมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 2020 ภายหลังจากที่ถูกกล่าวหาว่าได้ส่งต่อข้อมูลลับไปสู่สาธารณรัฐเช็ก มหาวิทยาลัยในสวิสเซอร์แลนด์ และหน่วยข่าวกรองของเยอรมัน นายสเมอร์นอฟ ผู้เป็นทนายความอีกคนในการสู้คดีให้แก่นายซาฟรอนนอฟ ต้องหลบหนีออกนอกรัสเซียเมื่อสามเดือนที่ผ่านมาและถูกกล่าวหาว่าไม่สามารถให้เหตุผลที่เหมาะสมในการไม่ปรากฎตัวเพื่อเข้าสู่หกขั้นตอนกา รสืบสวนได้ นายอีวาน พาฟลอฟ (Ivan Pavlov) ก็ได้หลบหนีไปที่จอร์เจียในเดือนกันยายนหลังจากที่หน่วยงานผู้มีอำนาจของรัสเซียเริ่มดำเนินคดีกับเขาในเรื่องข้อกล่าวหาของการเปิดเผย ข้อมูลลับเกี่ยวกับการสืบสวนของนายซาฟรอนนอฟ “การกระทำโดยหน่วยงานผู้มีอำนาจของรัสเซียได้ละเมิดสิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม เสรีภาพในการแสดงออก และเสรีภาพในการชุมนุม รวมไปถึงยังเป็นการกระทำที่ไม่เป็นไปตามพันธกิจของผู้ที่ปกป้องสิทธิมนุษยชน” กล่าวโดยองค์การนิรโทษกรรมสากลเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม [RFE/RL] กลุ่มองค์กรดังกล่าวยังได้แสดงความกังวลต่อ “แรงกดดันที่รุนแรง” ของหน่วยงานผู้มีอำนาจต่อนายพาฟลอฟและนายซาฟรอนนอฟ และ “การกดดันที่เหนือกฎหมายอย่างต่อเนื่อง” ต่อนายซาฟรอนนอฟและสภาพความเป็นอยู่ในการคุมตัวก่อนการพิจารณาคดี [RFE/RL] ตั้งแต่การหลบหนี หมายจับกุมของนายพาฟลอฟได้ถูกใส่เข้าไปในลิสต์รายชื่อของ “สายลับต่างชาติ” เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน ร่วมกับอดีตเพื่อนร่วมงานของเขาอีกสี่คน นอกจากนายพาฟลอฟมีผู้ที่ถูกใส่เข้าไปในลิสต์รายชื่อซึ่งกำลังเป็นที่ถกเถียงอีกจำนวนสี่คน ทั้งอดีตนักข่าวและนักข่าวที่ทำงานอยู่ปัจจุบันของวิทยุเสรียุโรป (Radio Free Europe/Radio Liberty: RFE/RL) ซึ่งการใส่ชื่อกระทำขึ้นโดยกระทรวงยุติธรรมของรัสเซีย นักข่าวจากรายการ Tatar-Bashkir-Service and Idel.Realities แห่งวิทยุเสรียุโรป (RFE/RL) Alina Grigoryeva, Andrei Grigoryev, Regina Khisamova และอดีตผู้มีส่วนร่วมกับทางช่อง Regina Gimalova ถูกจัดให้เป็น “สายลับต่างชาติ” ในต้นเดือนที่ผ่านมา [RFE/RL] รัฐบาลรัสเซียใช้การจัดแจงดังกล่าวเพื่อเป็นการปิดฉลากกับองค์กรที่รัฐฯนั้นแถลงว่าเป็นองค์กรที่ได้รับการสนับสนุนโดยทุนต่างชาติซึ่งม ีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางการเมืองรวมไปถึงบุคคลที่มีความเชื่อมโยง กฎหมาย“สายลับต่างชาติ” ถูกบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2012 และผ่านการแก้ไขมาหลายครั้ง ที่ผ่านมามันถูกใช้เป็นกฎหมายเพื่อปิดปาก ตัวแสดงทางประชาสังคมและกลุ่มสื่อในรัสเซีย [RFE/RL] กฎหมายกำหนดให้องค์กรที่ไม่ใช่ของรัฐซึ่งรับเงินช่วยเหลือจากต่างชาติและถือว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในกิจกรรมทางการเมืองต้องขึ้นทะเบียนเพ ื่อระบุตัวตนเป็น “สายลับต่างชาติ” และต้องยินยอมให้ถูกตรวจสอบ เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม ศาลในกรุงมอสโควมีคำสั่งให้ทำการปิดหนึ่งในองค์กรทางด้านสิทธิมนุษยชนที่มีชื่อเสียงที่สุดของรัสเซีย โดยอ้างถึงการละเว้นการนิยามสิ่งตีพิมพ์ด้วยคำเตือนของ “สายลับต่างชาติ” ศูนย์สิทธิมนุษยชนเมมโมเรียลถูกจัดตั้งขึ้นเมื่อครึ่งหลังของทศวรรษ 1980 สืบเนื่องมาจากการปฏิรูปทางการเมืองและการเปิดกว้างที่เพิ่มขึ้นใ นสหภาพโซเวียต เพื่อสืบสวนข้อเท็จจริงและให้การสนันสนุนแก่ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของระบอบการปกครองสตาลิน[CNN] [Deutsche Welle] [EiR Monthly December 2021] เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมาบริษัท Gazprom ของรัสเซีย ได้เข้าควบคุมเครือข่ายสื่อสังคมออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศซึ่งก็คือ VKontakte สนับสนุนให้รัฐบาลเครมลินเป็นผู้ควบคุมหลักของช่องทางสื่ออ อนไลน์ในรัสเซีย ซึ่ง VKontakte นั้นมีผู้ใช้งานจำนวนเกือบ 100 ล้านคนและเปรียบเสมือนกับ “Facebook ของรัสเซีย” Gazprom เข้าควบคุมเครือข่ายตามติดมาด้วยข้อตกลงหลายฉบับในการซื้อต่อของ อาลีเชอร์ อุสมานอฟ มหาเศรษฐีชาวรัสเซีย จากช่องทางการถือหุ้นบริษัท ข้อตกลงนี้ยังให้ Sogazบริษัทประกันภัยของรัสเซียมีส่วนได้ส่วนเสียเป็นอัตราร้อยละ 45 ต่อ MF Technologies บริษัทที่ควบคุมเรื่องเครือข่ายสื่อสังคมออนไลน์ Sogaz จะได้รับสิทธิ์ในการโหวตมากกว่าร้อยละ 25
ใน Vkontakte ซึ่ง Sogaz ถูกจัดตั้งขึ้นโดย Gazprom และถือเป็นพันธมิตรหลักของประธานาธิบดี ข้อตกลงดังกล่าวเป็นผลมาจากการที่รัฐฯมีอำนาจในการควบคุมอินเตอร์เน็ตในรัสเซียเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเคยถือว่าเป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างเปิดกว้าง แม้ว่าช่องทางสื่อดั้งเดิมจะตกไปอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐฯและผู้มีอิทธิพลซึ่งถือเป็นพันธมิตรของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินแล้วก็ตาม (bm/qc, transl. by ph) ยูเครน: ร่างกฎหมายต่อต้านผู้มีอิทธิพลเผยให้เห็นความตรึงเครียดระหว่างประธานาธิบดีและเหล่าเศรษฐียูเครน คณะกรรมมาธิการเวนิส (The Venice Commission) หน่วยงานที่ให้คำปรึกษาในเรื่องที่เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตยในยุโรป
ได้เลื่อนการพิจารณาร่างกฎหมายต่อต้านผู้มีอิทธิพลที่จะมีอายุไปจนถึงสิ้นเดือนมกราคม
ความล่าช้าที่เกิดขึ้นเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่นายโวโลดีมีร์ นายกรัฐมนตรีเซเลนสกีได้รับการเลือกตั้งเมื่อปี 2019 ในที่สัดส่วนที่ค่อนข้างมากเนื่องจากได้รับการสนับสนุนจากการให้คำมั่นที่จะต่อต้านเห ล่าเศรษฐียูเครน ที่มีอิทธิพลเหนือเศรษฐกิจรัฐบาลและสื่อของประเทศ [RFE/RL] ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีได้เสนอร่างกฎหมายขึ้นมาต่อสู้ผ่านการให้คำนิยามตามกฏหมายต่อคำว่า “ ผู้มีอิทธิพล” ตามหลากหลายเกณฑ์ที่วางไว้รวมไปถึงความร่ำรวย การครอบครองอุตสาหกรรม กิจกรรมทางการเมือง และอิทธิพลต่อสินทรัพย์ทางสื่อ [RFE/RL] ใครก็ตามที่มีคุณสมบัติตามหนึ่งในสามมาตรฐานที่กล่าวนี้ จะถูกนิยามและถือว่าเป็น “ ผู้มีอิทธิพล” พวกเขานั้นจะถูกห้ามมิให้มีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมือง รวมไปถึงให้การสนับสนุนพรรคทางด้านการเงินและซื้อขายทรัพย์สินของรัฐ ร่างกฎหมายผ่านการเห็นชอบจากสภายูเครน (Rada) เมื่อเดือนกันยายนและลงนามโดยนายกรัฐมนตรีเซเลนสกี เมื่อ 5 พฤศจิกายน จะมีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายในเดือนพฤษภาคม 2022 [RFE/RL] คณะกรรมาธิการเวนิสได้เลื่อนการตัดสินออกอันเป็นผลมาจาก “การป้องกันภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติซึ่งเกี่ยวข้องกับ อิทธิพลมากล้นของบุคคลที่มีน้ำหนักอย่างมากต่อการเมืองและเศรษฐกิจของสาธารณะ (ผู้มีอิทธิพล)” การตัดสินใจของพวกเขาถูกเลื่อนไปในการประชุมรวมครั้งหน้าซึ่งจะเกิดขึ้นในปลายเดือนมกราคม [Interfax Ukraine] การเผยให้เห็นครั้งแรกต่อแนวโน้มของผลที่จะตามมาของร่างกฎหมายนี้เกิดขึ้นเมื่อเดือนที่แล้ว ขณะที่นายรีนัท อาคีมีทอฟ (Rinat Akhmetov) ชายที่รวยที่สุดในยูเครนและเป็นเจ้าของ DTEK ถูกปฏิเสธค่าชดเชย อาคีมีทอฟ ผู้ซึ่งควรได้รับค่าชดเชยเป็นเงินจำนวนสามพันล้านฮริฟเนียยูเครน (115 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ) จากการที่รัฐบาลหั่นภาษีศุลกากรและไม่สามารถจ่ายค่าดำเนินการพลังงานหมุนเวียนได้ในเวลาที่เหมาะสม รายได้สุทธิประมาณของอาคีมีทอฟมีอยู่มากกว่า 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ความร่ำรวยของเขามีมากกว่าเศรษฐีสามลำดับถัดไปรวมกัน เขายังเป็นผู้จ่ายภาษีและผู้ว่าจ้างรายใหญ่ที่สุดของประเทศ ประกอบไปด้วยพนักงานกว่า 200,000 คนทั่วประเทศ [RFE/RL] เศรษฐีรายนี้ควบคุมสถานีโทรทัศน์หลักในประเทศอยู่หลายสถานี กว่าร่วมเดือนที่สถานีโทรทัศน์ซึ่งเป็นของอาคีมีทอฟออกอากาศการรายงานข่าวเชิงวิพากษ์วิจารณ์ต่อนายกรัฐมนตรีเซเลนสกี แม้ว่าตัวเขาจะปฏิเสธการมีอิทธิพลต่อเนื้อหาของช่องหรือการสินใจในเชิงบรรณาธิการ ความตึงเครียดระหว่างทั้งสองเพิ่มขึ้นเรื่อยๆสืบเนื่องจากถ้อยแถลงของนายกรัฐมนตรีเซเลนสกีระหว่างการแถลงข่าวเมื่อปลายเดือนที่แล้วว่า หน่วยข่าวกรองของเขาได้ค้นพบแผนกล่าวอ้างการรัฐประหารที่ถูกสนับสนุนโดยรัสเซียเพื่อโน้มน้าวให้ได้มาซึ่งการสนับสนุนจากอาคีมีทอฟ นายกรัฐมนตรีเซเลนสกีกล่าวว่า “ผมคิดว่า (อาคีมีทอฟ) อาจไม่รู้เรื่องก็ได้” เพิ่มให้อีกว่า “ผมได้เชิญนายรีนัท อาคีมีทอฟ มาที่สำนักงาน เพื่อให้มาฟังสิ่งที่ผมสามารถแบ่งปันให้เขาได้” [Financial Times] อาคีมีทอฟได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาและเรียกร้องให้มีการตรวจสอบความยุติธรรมของกฎหมายใหม่ จากความคิดเห็นผ่านลายลักษณ์อักษรที่ให้กับ the Financial Times อาคีมีทอฟระบุว่า “ผมไม่ใช่ผู้มีอิทธิพล ผมคือนักลงทุน และผมพร้อมที่จะสู้คดีทั้งในศาลยูเครนและศาลระหว่างประเทศ” เขายังกล่าวต่ออีกว่า “คนเรานั้นต่างต้องการการแข่งขันที่ยุติธรรมและ ผู้เล่นระดับเดียวกัน” [Financial Times] ผู้เชี่ยวชาญและนักการทูตต่างแสดงความกังวลต่อกฎหมายใหม่ที่จะสามารถนำไปใช้ได้โดยนายกรัฐมนตรีเซเลนสและรัฐบาลยูเครนในการเลือก ปราบปรามเฉพาะบุคคลในแวดวงทางธุรกิจที่ไม่ภักดีต่อรัฐบาล (bm/qc, transl. by ph) ตุรกี: รัฐบาลที่กำลังถูกจับตามองสร้างแรงกดดันต่อฝ่ายค้านท่ามกลางวิบัติทางเศรษฐกิจ รัฐบาลของประธานาธิบดี เรเจป ไตยิป แอร์โดอัน (Recep Tayyip Erdoğan) ได้เพิ่มดีกรีของแรงกดดันต่อฝ่ายค้านซึ่งรวมกลุ่มกันในการเรียกร้องเพื่อเร่งให้จัดตั้งการเลือกตั้ง ท่ามกลางการเผชิญหน้ากับสภาพเศรษฐกิจที่ถดถอยลงอย่างรวดเร็วถึงขั้นวิกฤต ภาวะเศรษฐกิจถดถอยของตุรกีแย่ลงอย่างมากจากการลู่ลงในแนวดิ่งอย่างชัดเจนของค่าเงินลีราตุรกี ประกอบกับความรุนแรงของภาวะเงินเฟ้อและการว่างงานที่สูง ข้อมูลอ้างอิงจากกลุ่มวิจัยเรื่องภาวะเงินเฟ้อ (Inflation Research Group) เผยว่ากลุ่มนักวิชาการอิสระทางด้านเศรษฐศาสตร์ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักและถูกกดดันโดยรัฐบาลในการทำการประเมินต่อรัฐฯเอง อัตราเงินเฟ้อต่อปีของตุรกีในปีที่ผ่านมานั้นมีมากกว่าร้อยละ 82 ซึ่งสูงกว่ามากเมื่อเทียบกับตัวเลขที่ถูกเผยแพร่อย่างเป็นทางการในจำนวน ร้อยละ 36.08 [BBC] [GMFUS] ตั้งแต่ปี 2018 ตุรกีได้เผชิญกับปัญหาทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นซึ่งทวีความรุนแรงโดยการรวมกลุ่มของผู้อพยพเป็นจำนวนนับล้าน ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 การบริหารเศรษฐกิจที่ผิดพลาดรวมไปถึงความคลั่งไคล้ทางอำนาจ ค่าใช้จ่ายจากการมีส่วนร่วมทางทหารและการแผ่อิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เกินกำลัง ในขณะที่ประธานาธิบดีแอร์โดอันตัดสินใจในการหั่นอัตราดอกเบี้ยท่ามกลางสภาวะเงินเฟ้อและพรากความเป็นอิสระของธนาคารกลางแห่งตุรกี (Central Bank of Turkey) เพื่อที่จะบังคับใช้นโยบายทางการเงินที่แหวกแนว สถานการณ์ได้เปลี่ยนจากแย่เป็นเลวร้ายซึ่งความนิยมของเขาได้หายไปเรื่อย ๆแม้กระทั่งกับฐานเสียงสนับสนุนดั้งเดิมของเขาเอง [GMFUS] การประกาศของประธานาธิบดีแอร์โดอันเมื่อเดือนธันวาคมว่าด้วยเรื่องของการเพิ่มเงินเดือนให้แก่บุคลากรของรัฐในอัตราร้อยละ 30.5 และเงินบำนา ญในอัตราที่ต่ำสุดเป็นจำนวนร้อยละ 66 ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงโดยสมาพันธ์แรงงานของรัฐบาล (Confederation of Public Employees' Trade Unions) โดยกล่าวว่ามันช่างเป็นเรื่อง “ไร้สาระ” เมื่อเทียบกับอัตราร้อยละ 82 ของภาวะเงินเฟ้อ รองประธานพรรคฝ่ายค้านแห่งรัฐบาลตุรกีนามว่าพรรคอนุรักษ์นิยมแห่งประชาชน (CHP) ซึ่งมีลักษณะซ้ายกลาง ได้ให้ความเห็นว่า “จากตัวเลขที่ปรากฏในทุกวันนี้ ประธานาธิบดีแอร์โดอันกำลังบอกให้ผู้ที่เกษียณนั้นอดตาย” [bianet] ในขณะเดียวกันภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจโดยรวมได้ส่งให้ฝ่ายค้านร่วมมือกันทำงานเพื่อแผ่ขยายความไม่พอใจผ่านการลงมือทำงานร่วมกันความเป็นไป ได้ที่ประธานาธิบดีแอร์โดอันและกลุ่มพันธมิตรหลักของเขาจะชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีก 18 เดือนมีเพียงน้อยนิด และดูเหมือนสถานการณ์จะไม่มีท่าทีที่จะบรรเทาลง ในขณะเดียวกัน การที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ของการเลือกตั้งก็ดูเหมือนจะเกิดขึ้นได้ยากเนื่องจากกลุ่มผู้สนับสนุนประธานาธิบดีแอร์โดอันนั้นได้สร้างศัตร ูไว้จำนวนมาก ประธานาธิบดีแอร์โดอันได้ดำเนินการปราบปรามผู้เห็นต่างอย่างจริงจังในทุกๆด้านที่เป็นไปได้และพรากเอาชีวิตสาธารณะของทั้งผู้ที่เป็นศัต รูและมีแนวโน้มจะเป็นศัตรู แคมเปญที่เกี่ยวข้องดังกล่าวนำไปสู่การจับกุมเพื่อคุมขังบุคคลนับพัน และนักวิชาการ สื่อ ทนายกว่า 150,000 คนที่เป็นผู้เปิดโปงต้องตกงาน เนื่องจากการกดขี่อย่างรุนแรงของสถานการณ์ดังกล่าวประกอบกับวิบัติทางเศรษฐกิจที่ไม่ได้รับการคลี่คลายและคำกล่าวหาอย่างละเอียดของนายเ ซดัต เปเกอร์ (Sedat Pekar) หัวหน้าผู้มีอิทธิพลและผู้ให้เบาะแส ซึ่งกล่าวพรรคพวกหลายคนของสมาชิกฝ่ายรัฐบาลว่าเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญกรรมที่รุนแรง [The Washington Post] การเลือกตั้งประธานาธิบดีจึงเปรียบเสมือนกับตัวชี้เป็นชี้ตายของพรรค [Foreign Affairs] สถานการณ์ดังกล่าวเองที่นำไปสู่การคาดการณ์ต่างๆนานาต่อวิธีที่รัฐบาลจะใช้เพื่อมิให้สูญเสียอำนาจ รวมไปถึงความเป็นไปได้ของการจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีแต่เนิ่นๆ ซึ่งกล่าวไว้โดยนายเซลาฮาชิน เดมิร์ทาส (Selahattin Demirtaş) อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปไตยประชาชน (HDP) ซึ่งเป็นพรรคสนับสนุนชาวเคิร์ด นายเดมิร์ทาสได้ถูกคุมตัวไว้หลังจากเหตุการณ์รัฐประหารในปี 2016 และต้องโทษคุมขังกว่า 142 ปีในข้อหาที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ แม้ว่าศาลสิทธิมนุษยชนยุโรป (The European Court of Human Rights)จะเรียกร้องให้ปล่อยตัวเขาหลายครั้งแล้วก็ตาม [Ahval 1] แม้จะตระหนักถึงเหตุการณ์ในอดีต ฝ่ายค้านที่เคยเห็นต่างกันอย่างสิ้นเชิงกำลังร่วมมือรุดหน้าทำงานเพื่อต่อต้านรัฐบาล ซึ่งการปฏิรูปของระบบสภาในปี 2017 เพื่อเปลี่ยนผ่านเป็นระบบประธานาธิบดีอาจมีส่วนช่วยของฝ่ายค้านในความพยายามนี้ได้ [Foreign Affairs] โซเนอร์ ชาปเท (Soner Cagaptay) กล่าวว่าบทบัญญัติแก้ไขมิได้เปิดทางให้แค่ประธานาธิบดีแอร์โดอันมีอำนาจเพิ่มขึ้นแต่มันยังทำให้ “ฝ่ายค้านแข็งแกร่งขึ้นโดยปริยาย” เนื่องจาก “ระบบประธานาธิบดีที่เกิดขึ้นใหม่นี้กำหนดให้ต้องมีการแข่งขันระหว่างสองผู้เข้าชิง” ซึ่งจะสร้างความเป็นไปได้ “ให้ผู้นำฝ่ายค้านสามารถที่จะรวบรวมผู้ที่ต่อต้านประธานาธิบดีแอร์โดอันในฐานะพรรคร่วมภายใต้ชื่อเดียวกัน” [Foreign Affairs] สามพรรคหลักซึ่งเป็นตัวชี้ขาดคือ พรรคอนุรักษ์นิยมแห่งประชาชน (CHP) พรรคที่มีความเก่าแก่ที่สุดและเป็นพรรคฝ่ายค้านที่ใหญ่ที่สุดของตุรกี และพรรคฝ่ายขวานามว่าพรรคชาตินิยมที่ดีแห่งตุรกี (IYI) พรรคฝ่ายค้านชาวเคิร์ดที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสาม รวมไปถึงพรรคที่สามคือพรรคฝ่ายซ้ายนามว่าพรรคประชาธิปไตยประชาชน (HDP) พรรคฝ่ายค้านที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสอง พรรคอนุรักษ์นิยมแห่งประชาชน (CHP) และพรรคชาตินิยมที่ดีแห่งตุรกี (IYI) ร่วมกับพรรคเล็กต่างๆในการสร้างกลุ่มแนวร่วมพรรคฝ่ายค้านตั้งแต่ตุลาคม ปี 2021 ซึ่งแม้แต่พันธมิตรแห่งชาติ (Nation Alliance) ซึ่งเกิดจากการรวมกันของสองพรรคเกิดใหม่นำโดยอดีตรัฐมนตรีหลักภายใต้การทำงานฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีแอร์โดอัน นายดาวูโตกลู(Davutoğlu) และ บาบาคาน (Babacan) [Ahval News 2] ผู้ท้าชิงที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดของประธานาธิบดีแอร์โดอันคือนายเอเครม อิมาโมกลู (Ekrem İmamoğlu) และ มานเซอร์ ยาวาช (Mansur Yavas) ผู้ว่าคนปัจจุบันจากพรรคพรรคอนุรักษ์นิยมแห่งประชาชน (CHP) ของเมืองอิสตันบูลและกรุงอังการาตามลำดับ และนางเมราล อัคเซเนอ (Meral Aksener) หัวหน้าพรรคชาตินิยมที่ดีแห่งตุรกี (IYI) เมื่อเดือนธันวาคม พรรคอนุรักษ์นิยมแห่งประชาชน (CHP) และพรรคประชาธิปไตยประชาชน (HDP) สองพรรคฝ่ายค้านที่ใหญ่ที่สุด ได้ร่วมกันยื่นคำร้องต่อการจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีให้เร็วขึ้นต่อสภาแห่งชาติสาธารณรัฐตุรกี (Grand National Assembly of Turkey) [Ahval News 3] ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเดือนธันวาคมฝ่ายค้านพันธมิตรแห่งชาติ (Nation Alliance) ซึ่งสมาชิกหลักประกอบไปด้วยพรรคอนุรักษ์นิยมแห่งประชาชน (CHP) และพรรคชาตินิยมที่ดีแห่งตุรกี (IYI)ได้ทำการร่างสำเร็จในเรื่องของการปฏิรูปรั ฐธรรมนูญที่จะเปลี่ยนให้ตุรกีกลับไปใช้ระบบสภาเช่นก่อน [Daily Sabah] ในเหตุการณ์นี้ รัฐบาลของประธานาธิบดีแอร์โดอันได้ตอบรับสถานกาณ์ด้วยการใช้การกดขี่ที่เพิ่มขึ้น มุ่งเน้นไปยังกลุ่มชาวเคิร์ดโดยเฉพาะพรรคประชาธิปไตยประชาชน (HDP) และพรรคอนุรักษ์นิยมแห่งประชาชน (CHP) ยกตัวอย่างเช่นเมื่อช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา พนักงานอัยการในเมืองอิสตันบูลได้ดำเนินคดีกับกลุ่มชาวเคิร์ดมุสลิมในเมืองภายใต้ข้อกล่าวหาในเรื่องของความเชื่องโยงกับพรรคแรงงานชาวเ คิร์ด (Kurdistan Workers’ Party: PKK) พรรคการเมืองคอมมิวนิสต์ซึ่งเป็นหลักแหล่งของผู้ก่อการร้าย การดำเนินคดีกับกลุ่มชาวเคิร์ดดังกล่าวทำให้คำศัพท์ในภาษาเคิร์ดที่ถูกใช้โดยกลุ่มทางศาสนา เทียบได้ว่าเป็นคำศัพท์ที่ “ไม่ค่อยใช้กันในหมู่คนทั่วไป” แต่ “ถูกใช้กัน” โดยพรรคแรงงานชาวเคิร์ด รวมไปถึงคำว่า “ชุมชน ความคุ้มครอง สันติ และศาสนา” รองหัวหน้า “พรรคประชาธิปไตยและความก้าวหน้า” (Democracy and Progress Party: DEVA)พรรคฝ่ายค้านซึ่งถูกจัดตั้งขึ้นโดยอดีตผู้สนับสนุนของประธานาธิบดีแอร์โดอันซึ่งมิได้มีความสนิทชิดเชื้อกับพรรคประชาธิปไตยประชาชน (HDP) ม ากนัก ได้ทวีตข้อความปีใหม่ในภาษาเคิร์ดที่สื่อถึงความเป็นหนึ่งด้วยคำศัพท์ดังกล่าว โดยอ้างว่าเขานั้นตกเป็นอาชญากรภายใต้การดำเนินคดีและยืนยันว่า “ภาษาเคิร์ดมิใช่ภาษาของความหวาดกลัว” [Ahval News 4] ในขณะเดียวกันทางรัฐบาลได้สั่งจับกุมชาวเคิร์ดท้องถิ่นที่เป็นสมาชิกของพรรคประชาธิปไตยประชาชน (HDP) หลังจากที่นายซูเลมาน ซอยลู (Süleyman Soylu) รัฐมนตรีมหาดไทย อ้างว่านักกฎหมายจากพรรคประชาธิปไตยประชาชนมีส่วนเกี่ยวข้องในการเสียชีวิตของพี่ชายของเจ้าหน้าที่นายหนึ่งจากพรรคยุติธรรมและการพัฒนา (Justice and Development Party: AKP) พรรคฝ่ายรัฐบาลของเขา แม้ว่าพรรคแรงงานชาวเคิร์ด (PKK) จะเป็นผู้แสดงความรับผิดชอบต่อการปลิดชีวิตของบุคคลดังกล่าวก็ตาม นักวิจารณ์ต่างมองว่าการจับกุมนี้เป็นอีกความพยายามหนึ่งของฝ่ายรัฐบาลในการทำให้พรรคประชาธิปไตยประชาชน (HDP) พรรคฝ่ายค้านที่ใหญ่ที่สุดเ ป็นอันดับสองของตุรกีตกเป็นอาชญกรด้วยข้อหาที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย [Rudaw] อย่างไรก็ตามการโจมตีในลักษณะเดียวกันต่อนายเอเครม อิมาโมกลู (Ekrem İmamoğlu) ตัวเต็งของพรรคอนุรักษ์นิยมแห่งประชาชน (CHP) และผู้ว่าการแห่งเมืองอิสตันบูล ซึ่งถือเป็นผู้วิจารณ์หลักของประธานาธิบดีแอร์โดอัน สืบเนื่องจากคำกล่าวหาของประธานาธิบดีแอร์โดอัน นายซูเลมาน ซอยลู (Süleyman Soylu) รัฐมนตรีมหาดไทยได้ดำเนินการสืบสวนทางอาชญากรรมกับพนักงานในหน่วยงานท้องถิ่นของเมืองอิสตันบูลจำนวน 557 คน ที่ถูกว่าจ้างภายใต้การทำงานของนายอิมาโมกลู นายซอยลูอ้างว่าพวกเขานั้นมีส่วนเชื่อมโยงกับ “กลุ่มผู้ก่อการร้าย” รวมไปถึง พรรคแรงงานชาวเคิร์ด (PKK) ซึ่งเป็นพรรคคอมมิวนิสต์ที่มีแนวคิดตามลัทธิมากซ์-เลนิน และพรรคปฏิรูปปลดแอกประชาชนหรือกลุ่มแนวหน้า (Revolutionary People’s Liberation Party/Front : DHKP/C) ยิ่งไปกว่านั้นพนักงานหน่วยงานท้องถิ่นบางรายยังถูกกล่าวหาว่ามีความเชื่อมโยงกับนายฟัตฮุลลอฮ กูเลน (Fethullah Gulen) นักบวชผู้มีถิ่นฐานอยู่ในสหรัฐฯ อดีตพันธมิตรของประธานาธิบดีแอร์โดอันซึ่งปัจจุบันกลายมาเป็นศัตรูหลัก อ้างอิงจากการสำรวจเมื่อเดือนธันวาคม ประธานาธิบดีแอร์โดอันและนายอิมาโมกลูจะได้รับคะแนนโหวตเป็นจำนวนร้อยละ 36.6 และ 48.7 ตามลำดับหากการเลือกตั้งถูกจัดขึ้น ณ วันนั้น [SCF] [Reuters] (hg, transl. by ph) Contributors and editorial team: Peter Kononczuk (pk), Glen Carey (gc), Henning Glaser (hg), Quincy Cloet (qc), Warren Ó Broin (wb), Harry Taunton (ht), Eric Kliszcz (ek), Imogen Groves (ig), Ivandzhelin Bozadzhieva (ib), Marlene Marx (mm), Palina Mizhyieuskaya (pm), Romesa Razzaq (rr), Emiljano Cera (ec), Nick Pentney (np), Beth Molloy (bm), Robert Nielsen (rn), Yara Pstrong (yp), Ruben Schutten (rs), Nicholas Warren (nw), Samuel Dempsey (sd), Karina Corral (kc), Kendall Ashlee (ka), Mustafa Hussain (mh), Venus Phuangkom, Duc Quang Ly (dql), Lucas Meier (lm), Sirima Sirimattayanan (ss), Beatrice Siviero (bs), Marco Stojanovik (ms), Sally Dobie, Prisca Mirchandani (pm), Chun-Jou Hsiao (zh)
Translators: Tomwit Jarnson (tj), Natthanicha Lephilibert (nl), Aekpaween Anuson (aa), Vachiravan Vanlaeiad (vv), Pattariya Hansawong (ph) เราจะขอบคุณมากสำหรับความคิดเห็นของคุณ! โปรดส่งความคิดเห็นใดๆ ที่คุณมีเกี่ยวกับจดหมายข่าวนี้ไปที่ : info@cpg-online.de นอกจากนี้ อย่าลืมกด Like CPG บน Facebook และเยี่ยมชม เว็บไซต์ ของเราสำหรับการอัปเดตข้อมูลข่าวสารอื่นๆ
|